ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 6 มกราคม 2558 ปิดช่วงเช้าไปที่ 1,467.88 จุด ลดลง 15.37 จุด เปลี่ยนแปลง -1.04% มูลค่าการซื้อขาย 23,603.07 ล้านบาท โดยระหว่างเทรดแตะจุดสูงสุดที่ 1,469.73 จุด และต่ำสุดที่ 1,459.22 จุด
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตามตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวลงต่อเนื่องจากแรงเทขายของนักลงทุนในทุกตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2552 ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตซับไพรม์ โดยลดลง 52.4% จากระดับสูงสุด 110 เหรียญต่อบาร์เรล เมื่อกลางเดือน มิ.ย.2557 มาที่ 52.35 บาร์เรล นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ขณะนี้ถือว่ามีความแตกต่างจากเหตุการณ์ในอดีต เพราะมิใช่เพียงเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวล่าช้ากดดันความต้องการใช้น้ำมันโลกโดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรปชะลอตัวเท่านั้น แต่เป็นผลจากที่สหรัฐฯ ลดการนำเข้าน้ำมันดิบ หลังจากที่สามารถผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากชั้นดินดาน หรือ shale oil, shale gas ได้เพิ่มขึ้น
“ระดับราคาน้ำมันดิบที่ลดลงในปัจจุบันถือว่าเป็นระดับที่ต่ำมาก และถืออยู่ในระดับที่ต่ำกว่าต้นทุนผู้ผลิตนอกกลุ่ม OPEC (สหรัฐฯ และรัสเซีย) ซึ่งคาดว่าอยู่ที่ราว 70 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งสูงกว่ากลุ่ม OPEC ที่มีต้นทุนเฉลี่ยราว 40-50 เหรียญฯ จึงคาดว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ต่ำน่าจะอยู่ต่อเนื่องในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และน่าจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 หรือครึ่งหลังของปี หากเศรษฐกิจโลกค่อยๆ ฟื้นตัว” นักวิเคราะห์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีแรงขายเพิ่มเติมจากสถาบันในประเทศซึ่งเป็นไปตามที่คาดไว้ว่าน่าจะมาจากกองทุน LTF ที่ครบกำหนดอายุ 5 ปีปฏิทิน และเชื่อว่าแรงขายจากนักลงทุนกลุ่มนี้จะยังกดดันดัชนีได้ต่อเนื่องในระยะสั้น ดังนั้น คาดว่าช่วงบ่ายดัชนีน่าจะยังคงแกว่งตัวแคบๆ ในแดนลบต่อเนื่องจากช่วงเช้าแต่ไม่น่าจะลงไปลึกมาก
หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่
1.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,735,64 ล้านบาท ปิดที่ 214.00 บาท ลดลง 6.00
2.PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,435,870 ล้านบาท ปิดที่ 312.00 บาท ลดลง 3.00
3.KTB มูลค่าการซื้อขาย 1,255,078 ล้านบาท ปิดที่ 21.50 บาท ลดลง 0.60
4.TRUE มูลค่าการซื้อขาย 1,188,480 ล้านบาท ปิดที่ 11.40 บาท ลดลง 0.10
5.SCBมูลค่าการซื้อขาย 1,067,248 ล้านบาท ปิดที่ 174.50 บาท ลดลง 4.50