xs
xsm
sm
md
lg

อีสเทิร์นโพลีเมอร์ฯ เหนือจอง ผู้บริหารปลื้ม โบรกฯ เชียร์ราคาเหนือ 7 บ.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป เทรดวันแรกเหนือจอง 0.85 บาท คิดเป็น 14.66% จากราคา IPO ที่ขาย 5.80 บาท มูลค่าซื้อขาย 5,713.18 ล้านบาท ผู้บริหารพอใจแม้ตลาดหุ้นผวน เชื่อนักลงทุนสน หลังอุตฯ ยานยนต์ฟื้น ทำให้รายได้กำไรเติบโต โบรกฯ เชียร์ผลงานเติบโตดีให้ราคาเป้าหมายปี 58 เหนือ 7 บาท

วันนี้ (24 ธ.ค.) หุ้นบริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก โดยเปิดตลาดที่ราคา 7.05 บาท เพิ่มจากราคาจอง IPO ที่กำหนดขายหุ้นละ 5.80 บาท ระหว่างวันราคาปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 7.15 บาท ต่ำสุดที่ 6.20 บาท และปิดตลาดที่ 6.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.85 บาท คิดเป็น 14.66% มูลค่าซื้อขาย 5,713.18 ล้านบาท

นายภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EPG กล่าวว่า พอใจต่อราคาหุ้นที่เข้าซื้อขายในวันแรกเป็นอย่างมาก แม้ภาวะตลาดหุ้นไทยขณะนี้ผันผวน แต่มั่นใจว่าหุ้น EPG จะได้รับความสนใจเป็นอย่างดี จากทั้งในส่วนของนักลงทุนรายย่อย และสถาบัน เพราะช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้รับยอดจองซื้อหุ้นเข้ามาสูงมากเกิน 6 เท่า จึงมีความเป็นไปได้ที่ผู้พลาดโอกาสช่วจองซื้อหุ้นไอพีโอ หรือผู้ได้รับหุ้นไอพีโอไปแล้วจะเข้ามาเก็บหุ้น EPG ในวันนี้

“ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ธุรกิจยานยนต์ในประเทศมีการชะลอตัวลง ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบในบางส่วนที่ต้องชะลอตามลงไปด้วย คาดว่าหลังจากนี้ที่อุตฯ ยานยนต์ปรับฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น ยอดความต้องชิ้นส่วนยานยนต์จะกลับฟื้นขึ้น ทำให้รายได้บริษัทฯ มีอัตราที่ดีขึ้นอีกครั้ง โดยแผนการดำเนินงานระยะเวลา 3-5 ปี บริษัทฯ ตั้งเป้าปรับสัดส่วนการจำหน่ายเน้นตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น จากเดิมขายในประเทศ 50% ต่างประเทศ 50% เปลี่ยนเป็นในประเทศ 30% และต่างประเทศ 70% อีกทั้งผลิตภัณฑ์ประเภทบรรจุภัณฑ์อาหารก็มีความต้องการในตลาดอาหารโลกอย่างมาก”

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯ ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ EPG ไว้ที่ 7.10 บาท ผลประกอบการมีแนวโน้มที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากการขยายกำลังการผลิตในต่างประเทศ และการชิงส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งเพิ่มขึ้น โดยใช้ผลประกอบการปี FY2559F โดยใช้ PER 16 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของกลุ่ม CONMAT และ AUTO (ผลิตภัณฑ์ของ EPG อยู่ระหว่างหลายกลุ่มอุตสาหกรรม) บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯ ประเมินราคาเป้าหมายปี 2016F ของ EPG ที่ 7.15 บาท ด้วยวิธี PER 15x ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยผู้ประกอบการในธุรกิจคล้ายกัน โดยชอบ EPG ที่ความเป็นผู้นำระดับโลกในสินค้ากลุ่มพลาสติกแปรรูป ด้วยส่วนแบ่งการตลาดกว่า 10% สำหรับสินค้าฉนวนยางกันความร้อน/เย็น (Top 3 ของโลก) 35% สำหรับสินค้าพื้นปูกระบะ (Bed liner, Top 1 ของโลก) และ 20% สำหรับสินค้าถ้วยพลาสติกในเอเชีย (Top 3 ของเอเชีย)

ท่ามกลางจุดแข็งด้วยการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผ่านสิทธิบัตรที่มีในมือกว่า 239 รายการทั่วโลก และช่องทางการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งผ่าน Dealer ใน 100 ประเทศ รวมถึงข้อได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งของฐานการผลิตที่กระจาย และใกล้กับแหล่งคู่ค้า จึงคาด NP ช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 2015-17F) จะเติบโตก้าวกระโดดเพิ่มกว่า 38% ต่อปี

โดยประเมินช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลพลอยได้ของ EPG โดยสำหรับปี 15F (ปิดงวด มี.ค.15) เราคาดยอดขายจากลุ่มสินค้าฉนวนยางจะโตโดดเด่นสุดในกลุ่มเพิ่มขึ้น +10% จากปีก่อนตามความสำเร็จในการขยายตลาดในต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา และเอเชีย ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปกรณ์ชิ้นส่วนตกแต่งรถยนต์ และกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกจะเริ่มเห็นการเติบโตที่โดดเด่นตั้งแต่ปี 16F ที่บวก 25% ต่อบวก 15% ตามการส่งมอบค่ำสั่งซื้อให้แก่ลูกค้าใหม่รายใหญ่ระดับโลกในกลุ่มรถกระบะ และร้านกาแฟเต็มปี และคาดว่ากำไรสุทธิปี 15F เพิ่มขึ้นเป็น 769 ล้านบาท หรือบวก 22% ตามแรงหนุน และยอดขายที่จะกลับมาเพิ่มขึ้น 7% โดยเฉพาะจากกลุ่มฉนวนยาง ท่ามกลางความสามารถในการคุม SG&A/sale ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง และภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังระดมทุน ในขณะที่ปี 16F โดยคาด NP จะเร่งตัวขึ้นกว่า 73% ตามการเติบโตของรายได้ที่เร่งตัวทุกผลิตภัณฑ์ขึ้น 20% และ GPM ที่จะพุ่งขึ้นเป็น 27.2% (+139bps) ตาม Utilization rate ที่สูงขึ้น และ Mix ของสินค้ามาร์จิ้นสูงมากขึ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น