ประธานบอร์ด EPG เผยพอใจต่อดัชนีราคาหุ้นที่เข้าซื้อขายในวันแรก แม้ที่ผ่านมาเศรษฐกิจชะลอตัว อุตฯ ยานยนต์ทรุด ทำให้รายได้บริษัทฯ หดตัว คาดปีหน้าสถานการณ์ตลาดเริ่มดีขึ้น รายได้จะกลับมาดีขึ้น แย้มตั้งเป้าเติบโต 8-10% พร้อมปรับสัดส่วนการขายต่างประเทศหลังเข้าตลาดเป็น 70:30
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แหง่ประเทศไทย ในการเข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ IPO ของ บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป หรือ EPG ทันทีที่เปิดตลาด ณ เวลา 10.00 น. ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6.95 บาท/หุ้น หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.83% จากราคา IPO ที่ 5.80 บาท/หุ้น ซึ่งแรงซื้อที่ทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นได้ส่วนหนึ่งเป็นผลมากระแสการเก็งกำไรหุ้นไอพีโอช่วงเข้าซื้อขายวันแรกที่ได้รับความนิยม อีกทั้งหุ้น EPG ได้รับความสนใจจากกลุ่มสถาบัน และนักลงทุนรายย่อยอย่างมากจนมียอดจองหุ้นมากเกินระดับ 6 เท่า
นายภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป หรือ EPG กล่าวว่า พอใจต่อดัชนีราคาหุ้นที่เข้าซื้อขายในวันแรกเป็นอย่างมาก แม้ภาวะตลาดหุ้นไทยขณะนี้ผันผวน แต่มั่นใจว่าหุ้น EPG จะได้รับความสนใจเป็นอย่างดี จากทั้งในส่วนของนักลงทุนรายย่อย และสถาบัน เพราะในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้รับยอดจองซื้อหุ้นเข้ามาสูงมากเกิน 6 เท่า จึงมีความเป็นไปได้ที่ผู้พลาดโอกาสช่วงจองซื้อหุ้นไอพีโอ หรือผู้ได้รับหุ้นไอพีโอไปแล้วจะเข้ามาเก็บหุ้น EPG ในวันนี้
“ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านธุรกิจยานยนต์ในประเทศมีการชะลอตัวลง ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบในบางส่วนที่ต้องชะลอตามลงไปด้วย แต่คาดว่าหลังจากนี้ที่อุตฯ ยานยนต์ปรับฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น ยอดความต้องชิ้นส่วนยานยนต์จะกลับฟื้นขึ้น ทำให้รายได้บริษัทฯ มีอัตราที่ดีขึ้นอีกครั้ง โดยแผนการดำเนินงานในระยะเวลา 3-5 ปี บริษัทฯ ตั้งเป้าปรับสัดส่วนการจำหน่ายเน้นตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น จากเดิมขายในประเทศ 50% ต่างประเทศ 50% เปลี่ยนเป็นในประเทศ 30% และต่างประเทศ 70% อีกทั้งผลิตภัณฑ์ประเภทบรรจุภัณฑ์อาหารก็มีความต้องการในตลาดอาหารโลกอย่างมาก”
ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนขายหุ้น IPO จำนวน 700 ล้านหุ้น หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท ไปชำระหนี้สินประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนเงินระดมทุนที่เหลืออีกประมาณ 1,000 ล้านบาท จะใช้นำไปใช้ซื้อเครื่องจักร และเพิ่มศักยภาพกลุ่มธุรกิจของบริษัทในเครือ ซึ่งปัจจุบันทั้ง 3 บริษัทย่อยมีสัดส่วนทำรายได้เฉลี่ยบริษัทละกว่า 30% เมื่อเทียบกับภาพรวมโครงสร้างรายได้ทั้งหมด ส่วนภาพรวมโครงสร้างรายได้ EPG จะมาจากรายได้ภายในประเทศ 50% และอีก 50% เป็นรายได้ที่มาจากตลาดในต่างประเทศ ประกอบกับบริษัทได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง ช่วยให้ต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทลดลงตามด้วยเช่นกัน โดยบริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 30% จากกำไรสุทธิ