xs
xsm
sm
md
lg

EPG เตรีมเปิดขาย IPO ส่งท้ายปี ผู้บริหารมั่นใจรายได้โตก้าวกระโดด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป ยื่นไฟลิ่ง ก.ล.ต. เตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป หรือ IPO ประมาณ 700 ล้านหุ้น ในช่วงปลายปีนี้ รายได้จากการกระจายหุ้นจะนำไปชำระหนี้ และขยายโรงงานรองรับการเติบโตของตลาดทั่วโลก ผู้บริหารมั่นใจรายได้โตก้าวกระโดด หลังสร้างศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จ พร้อมผลิตสินค้าตามความต้องการของลูกค้าทุกรูปแบบทั่วโลก

นายเฉลียว วิทูรปกรณ์ กรรมการบริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG เชื่อมั่นว่า บริษัทจะสามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ IPO ได้ปลายปี 2557 นี้ หลังจากยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล หรือไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา โดยแต่งตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 700 ล้านหุ้น หลังจากเสนอขาย IPO แล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มวิทูรปกรณ์ จะลดลงเหลือ 75% และบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 30%

“ปัจจุบันโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ EPG มีกลุ่มวิทูรปกรณ์ถือหุ้นเกือบ 100% เรามี 2,800 ล้านหุ้น เราจะแบ่งสู่สาธารณชน 700 ล้านหุ้น หรือประมาณ 25% เรายังคงถือไว้ 75% ในการลงทุนสร้างโรงงานใหม่ และขยายโรงงานเก่าแต่ละโรงงานของเราทั่วโลก เราจะเติบโตไปได้ไกลมากขึ้น เดิมเตรียมจะเข้าตลาดตั้งแต่ช่วงต้นปี 2557 แต่เหตุการณ์ทางการเมืองมีสัญญาณที่ไม่ดีสำหรับประเทศไทยที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 เราก็เลยปรับแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยเตรียมความพร้อมให้แข็งแกร่งขึ้น” นายเฉลียว กล่าว

กรรมการบริหาร EPG คาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตได้ราว 8-10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 6,590 ล้านบาท และในช่วง 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะทำรายได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ลงทุนสร้างศูนย์ศึกษา และพัฒนาผลิตภัณฑ์ มุ่งขยายกำลังการผลิตแตกไลน์สินค้าเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ทำให้ปัจจุบันบริษัทยังมีกำลังผลิตเหลืออยู่อีกราว 30-40%

“ปัจจุบันเรามีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ประมาณ 1-3 เมื่อระดมทุน และชำระหนี้แล้วเราจะเหลือสัดส่วนหนี้สินต่อทุนประมาณ 0.3 เท่านั้น ถือเป็นการลดรายจ่ายได้อย่างมหาศาล ประกอบกับการที่เราลงทุนไปศูนย์การพัฒนานวัตกรรม และการทดสอบสินค้าไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้เราสามารถพัฒนาสินค้าได้ทุกแนวที่ลูกค้าต้องการ ดังนั้น เรามั่นใจว่าเราสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ทุกประเภท และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ควบคู่ไปกับลูกค้าด้วย ถือเป็นการสร้างรายได้ให้แก่เราได้อย่างมั่นคง” นายเฉลียว กล่าว

นายเฉลียว กล่าวแสดงความมั่นใจว่า กำลังการผลิตน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งน้ำมันจากหินดินดานของสหรัฐอเมริกา น้ำมันจากจีน ประกอบกับกลุ่มโอเปกปรับลดราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลง จะทำให้ต้นทุนเม็ดพลาสติกของบริษัทปรับลดลงเป็นอย่างมาก ในขณะที่ราคาจัดจำหน่ายเท่าเดิม จะทำให้บริษัทมีสัดส่วนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตในประเทศเยอรมนี และจีน โดยเฉพาะอุปกรณ์และชิ้นส่วนยานยนต์ พื้นปูหลังรถกระบะที่ในต่างประเทศยังมีสัดส่วนการใช้น้อย จึงมองว่ายังมีโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก

กลุ่ม EPG ประกอบด้วย 4 ธุรกิจหลัก คือ 1.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ “แอร์โรเฟล็กซ์” สัดส่วนรายได้ 34% ของรายได้รวม ปัจจุบันมีฐานการผลิต 8 แห่งทั่วโลก ได้แก่ ไทย สหรัฐฯ เยอรมนี อินเดีย รัสเซีย สวิตเซอร์แลนด์ และจีน 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 15,000 ตันต่อปี

2.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งยานยนต์แบรนด์ “แอร์โรคลาส” สัดส่วนรายได้ 33% กำลังการผลิต 800,000 ชิ้นต่อปี เราถือเป็นบริษัทอันดับ 3 ของโลก โดยมีอันดับ 1 คือ อเมริกา อันดับ 2 อิตาลี ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 1,800-2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นส่งออก 60% ไปขายยัง 100 ประเทศทั่วโลก และขายภายในประเทศ 40% มีโรงงานผลิต และศูนย์กระจายสินค้าอยู่ 7 แห่งทั่วโลก แบ่งเป็นโรงงานที่เราถือหุ้น 100% จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ ไทย 2 แห่ง ที่จีน อยู่เมืองเซี่ยงไฮ้ โรงงานที่สหรัฐอเมริกา อยู่รัฐเทนเนสซี และโรงงานที่เยอรมนี

3.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกคุณภาพสูง ภายใต้เครื่องหมายการค้า EPP สัดส่วนรายได้ 33% เราเริ่มจากยอดขาย 200 กว่าล้านบาทเมื่อปี 2544 ตอนนี้เพิ่มยอดขายมาประมาณ 2,400-2,500 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดส่งออกเพียงกว่า 10% ไปเกาหลี, แคนาดา, ออสเตรเลีย, แถบเอเชีย เช่น พม่า, กัมพูชา, ลาว ยอดขายหลักอยู่ตลาดในประเทศ 80% ขายให้บริษัทแบรนด์ดังๆ เช่น ถ้วยของแมคโดนัลด์ สาขาในไทย และอาเซียนหลายประเทศ, EASY GO ของซีพี, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อยำยำ เป็นต้น

และ 4.ธุรกิจวิจัยพัฒนานวัตกรรมและการทดสอบ เพิ่งจะจัดตั้งได้ไม่นาน รับวิจัยเกี่ยวกับยางสังเคราะห์ ยางธรรมชาติ และพลาสติก ทั้งนี้ แต่ละธุรกิจมีทั้งลงทุนเอง 100% และไปร่วมทุนกับบริษัทต่างประเทศ ปัจจุบันถือเป็นผู้ผลิตสินค้านวัตกรรมที่มีการจดสิทธิบัตรมากกว่า 300 ฉบับทั่วโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น