ASTVผู้จัดการรายวัน - “นิสชิน” เดินเกมปั้น “โกลบอลแบรนด์” ซุ่มเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรธุรกิจกับ “ผีแดง-แมนฯ ยู” หวังใช้ฐานแฟนคลับ 659 ล้านคนทั่วโลกรู้จักและจดจำแบรนด์มากขึ้น ก่อนกรุยทางทำตลาดและตั้งโรงงานในเมืองผู้ดี ดันเป้าขยายตลาดและยอดขายใน 3 ปีทะลุ 3.2 หมื่นล้านบาท พร้อมทุ่มงบ 50 ล้านบาททำแคมเปญในไทยหวังขยับแชร์อย่างต่ำ 10% พร้อมติดอันดับท็อปทรีใน 3 ปี
นายมาซาฮิโระ ฟุไก กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิสชิน ฟูดส์ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท นิสชิน ฟูดส์ มีนโยบายผลักดันให้ “นิสชิน” เป็นแบรนด์ระดับโลก (Global Brand) หลังจากที่มีการทำตลาดพร้อมตั้งโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใน 19 ประเทศ ทั้งเอเชีย ยุโรป แอฟริกา ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ
ล่าสุดเมื่อประมาณต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ได้เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ประเทศอังกฤษ เป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างแบรนด์ “นิสชิน” ให้ผู้บริโภครู้จักและจดจำมากขึ้น
การเซ็นสัญญาครั้งนี้ยังถือเป็นก้าวแรกที่ “นิสชิน” จะเริ่มทำตลาดในประเทศอังกฤษภายในปี 2557 โดยในเบื้องต้นจะนำเข้าสินค้าจากประเทศเยอรมนี ฮังการี และตุรกีซึ่งมีโรงงานอยู่แล้ว จากนั้นในอนาคตอันใกล้อาจมีการลงทุนตั้งโรงงานใหม่ในประเทศอังกฤษเพิ่มขึ้น
ส่วนรูปแบบการทำตลาด ระยะแรกอาจเน้นการแนะนำสินค้าและแบรนด์ให้ผู้บริโภครู้จักด้วยการแจกสินค้าตัวอย่างให้แฟนบอลและผู้บริโภคทั่วไปได้ทดลองชิมฟรี ณ บริเวณสนามฟุตบอลโอลด์ แทรฟฟอร์ด ของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
*** มุ่งทำยอด 3.2 หมื่นล้านบาทใน 3 ปี ***
จากความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ “นิสชิน” จะมีการนำรูปนักฟุตบอลชื่อดังของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาพิมพ์ลงบรรจุภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งแบบซองและถ้วยเพื่อสร้างการรับรู้และความท้าทายให้แฟนคลับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สนใจที่จะทดลองชิมสินค้า โดยคาดว่าภายใน 3 ปีจะสามารถขยายตลาดและสร้างยอดขายทั่วโลกเป็น 3.2 หมื่นล้านบาท
“นิสชินเป็นผู้คิดค้นและผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นเป็นรายแรกของโลกเมื่อ 56 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศญี่ปุ่นกว่า 50% ขณะที่สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นสโมสรฟุตบอลเก่าแก่ที่ก่อตั้งมานานถึง 136 ปี มีแฟนสโมสรทั่วโลกกว่า 659 ล้านคน จึงเชื่อมั่นได้ว่าการเป็นพันธมิตรกับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครั้งนี้จะเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญ และช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แบรนด์นิสชินจากแบรนด์ของญี่ปุ่นให้เป็นแบรนด์ระดับโลกได้สำเร็จ”
*** หวังส่วนแบ่ง 10% ในไทย ***
นายมาซาฮิโระ ฟุไก ยังกล่าวถึงภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทยว่า ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยมี “มาม่า” เป็นผู้นำตลาดด้วยสัดส่วนกว่า 50% ตามด้วย “ไวไว” 25% “ยำยำ” 20% ขณะที่ “นิสชิน” ยังมีส่วนแบ่งเพียง 4% โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งไม่น้อยกว่า 10% ภายใน 3 ปี โดยเน้นใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ “สปอร์ต มาร์เกตติ้ง” ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาดทุกช่องทางภายใต้สโลแกน “Hungry To Win” สำหรับปี 2557 ซึ่งแม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะมีปัญหาด้านการเมืองและเศรษฐกิจ แต่บริษัทฯ ใช้แผนพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการจัดทีมการตลาดและส่งเสริมการขายเข้าไปแนะนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยที่มีความสะดวกต่อการบริโภคให้ผู้ชุมนุมได้ทดลองชิมอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบทางด้านยอดขายแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีการจัดงบประมาณอีก 50 ล้านบาทในการทำแคมเปญต่างๆ ร่วมกับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อเอาใจผู้บริโภคชาวไทย จึงคาดว่าจะสามารถทำรายได้ประมาณ 800 ล้านบาท ถือเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2556 ถึง 2 เท่า
*** ปรับแผนผลิต-ตลาดรับมือ AEC ***
นายมาซาฮิโระ ฟุไก ยังกล่าวด้วยว่า หลังจากที่เปิดเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 แล้ว กลุ่มนิสชิน ฟูดส์ อาจมีการปรับแผนการผลิตและการตลาดใหม่ เนื่องจากปัจจุบันมีโรงงานแล้ว 5 แห่งในประเทศไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยคาดว่าอาจมีการหมุนเวียนและเชื่อมโยงเครือข่ายด้านวัตถุดิบ เครื่องจักร และเทคโนโลยีในการผลิตและทำการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจะยังคงใช้ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ประเทศสิงคโปร์เป็นหลักเช่นเคย