xs
xsm
sm
md
lg

อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป เริ่มซื้อขายในตลาด 24 ธ.ค.นี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป เริ่มซื้อขายในตลาด 24 ธ.ค.นี้ ในตลาด mai กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดวัสดุก่อสร้าง ผู้บริหารเตรียมนำเงินที่ได้ชำระคืนหนี้ และที่เหลือจะนำไปใช้ในการไปขยายกิจการทั้งใน และต่างประเทศ

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน ตลท. ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดวัสดุก่อสร้าง ในวันที่ 24 ธันวาคม 57 ซึ่ง EPG ประกอบธุรกิจการลงทุนในบริษัทอื่น (holding company) มีการลงทุนในธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉนวนยางกันความร้อน/เย็นในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง ภายใต้ตราสินค้า “แอร์โรเฟล็กซ์” นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจอื่น ได้แก่ ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ ภายใต้ตราสินค้า “แอร์โรคลาส” ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกคุณภาพสูง ภายใต้ตราสินค้า “อีพีพี” โดยบริษัทให้ความสำคัญต่อการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะ มีคุณภาพสูง และมีเครื่องหมายการค้าของตนเอง

EPG มีทุนชำระแล้ว 2,800 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญเดิม 2,100 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 700 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 17-19 ธันวาคม 2557 ในราคาหุ้นละ 5.80 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 4,060 ล้านบาท โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นายภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป (EPG) เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ส่วนหนึ่งไปชำระคืนหนี้ และที่เหลือจะนำไปใช้ในการไปขยายกิจการทั้งใน และต่างประเทศ ทั้งนี้ บริษัทมุ่งเน้นที่จะลงทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่โดยอาศัยนวัตกรรมที่บริษัทลงทุนวิจัย และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ EPG 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มวิทูรปกรณ์ ถือหุ้น 75% สำนักงานประกันสังคม ถือหุ้น 0.37% และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ถือหุ้น 0.36 % การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 32.22 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (1 ตุลาคม 2556-30 กันยายน 2557) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.18 บาท โดย P/E Ratio เฉลี่ยของบริษัทที่คัดเลือกจากหมวดวัสดุก่อสร้างในช่วง 6 เดือน (13 มิถุนายน-12 ธันวาคม 2557) เท่ากับ 15.7 เท่า ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวมหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล


กำลังโหลดความคิดเห็น