จากบทวิเคราะห์ ASP Market Talks พบว่า ผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ลดลง ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของตลาดหุ้น เพราะหุ้นพลังงานมีมูลค่าตลาดมากสุด โดยสัดส่วนราว 15.6% ของมูลค่าตลาดรวม โดยกระทบจะเกิดขึ้นในหลายด้านคือ ตั้งแต่ราคาขายปิโตรเลียม (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน) บันทึกขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันดิบ และการด้อยค่าของเงินลงทุน กล่าวคือ การลดลงของราคาปิโตรเลียม จะกดดันต่อสมมติฐานราคาน้ำมันดิบในระยะยาว นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป เมื่อนักวิเคราะห์พลังงานของ ASP ได้ตัดลดประมาณการกำไรตลาดในปี 2558 ลงราว 3.29 หมื่นล้านบาท (จาก PTT, PTTEP) ภายใต้การปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันลงจากเดิม 90 เหรียญฯ เหลือ 75 เหรียญฯ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงจะส่งผลให้ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน ในงวด 4Q57 ของโรงกลั่น (TOP, PTTGC, BCP, IRPC และ PTT ที่ถือหุ้นในโรงกลั่นทุกแห่ง) จึงได้ปรับลดประมาณการกำไรหุ้นพลังงานอีก 3 หมื่นล้านบาท
โดยรวมทำให้ประมาณการกำไรสุทธิตลาดปี 2557 และ 2558 ลดลงอีกครั้ง (หลังจากที่ปรับลดลงไปแล้วเมื่อเดือน พ.ย.2557 โดยปรับลดลงปี 2557-2558 ลง 1.9% และ 1.1% ตามลำดับ) จากประมาณการเดิมราว 3.6% และ 3.4% ตามลำดับ โดยจะทำให้กำไรสุทธิตลาดลดลงมาอยู่ที่ 8.06 แสนล้านบาท และ 9.38 แสนล้านบาท หรือกำไรสุทธิต่อหุ้นราว (EPS) 88.41 บาท และ 102.97 บาท ตามลำดับ ซึ่งเท่ากับตลาดหุ้นไทยมี Expected P/E ปี 2558 ราว 14.35 เท่า ถือว่าเป็นระดับที่น่าจะสนใจระดับหนึ่ง ทั้งนี้ คาดว่าหากพิจารณาแนวรับตามพื้นฐานคาดว่าถัดไปจะอยู่ที่ 1,467.32-1,441จุด อิง Expected P/E 14.25-14 เท่า แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนจากเดิมให้ 30% ของเงินลงทุนเป็น 50% ของเงินลงทุน โดยให้เลือกหุ้นลงทุนตามกลยุทธ์จะกล่าวในย่อหน้าถัดไป ดังนั้นแนะนำหุ้นที่คาดจะชนะตลาดนับจากนี้
กลยุทธ์การลงทุน ยังแนะนำให้เลือกหุ้นเป็นรายตัว เน้นหุ้น P/E ต่ำ และเงินปันผลสูง โดยอาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักคือ
1.ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง : กลุ่มที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนการผลิต หรือต้นทุนการให้บริการที่ชัดเจนที่สุดคือ กลุ่มขนส่งทางอากาศ และขนทางทางเรือ โดยในส่วนของกลุ่มขนส่งทางอากาศเด่นคือ AAV (FV@B 6) ขณะที่กลุ่มขนส่งทางเรือเลือก RCL (FV@B 11.80) และ TASCO (FV@B80)
2.หุ้นให้ผลตอบแทนชนะตลาดในเดือนมกราคม : ตามสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่า มีหุ้นหลายตัวที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกด้วยความน่าจะเป็นเกิน 70% เช่น STPI (FV@B 30.30) ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.63% (ด้วยความน่าจะเป็น 70%), GFPT (FV@B 27) ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.31%, KTB (FV@B 29.16) ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.18%, SEAFCO (FV@B 9.43) ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.81% ขณะที่ SYNTEC (FV@B 3.37) ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.96% ความน่าจะเป็น 60%
3.หุ้นปันผลเด่น : เกณฑ์ในการคัดเลือกจะให้น้ำหนักแก่หุ้นที่ให้ Dividend Yield สูงกว่า 4% ในงวดปี 2558 และมีราคาหุ้นต่ำกว่า Fair Value โดยหุ้นเด่นที่เลือกประกอบด้วย INTUCH (FV@B 113), STPI (FV@B 30.30), SPALI (FV@B 31.96), AIT (FV@B 53), ADVANC (FV@B 285), BEC (FV@B 57), HANA (FV@B48), KCE (FV@B 46.5)
Ant eye view : กระแสของการ Panic Sell ต่อข่าวลือ แฮรี่ พอตเตอร์ กับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ทำให้ SET Index ปรับลดลงรุนแรงกว่า 138 จุด จนมาทำ Low 1,375 จุดตอนนั้น ในส่วนของผู้เขียนยอมรับตามตรงว่า ชินชาต่อเหตุการณ์แบบนี้มาก เพราะเคยเจอมากับตัว 2 ครั้ง ทำให้มองว่าเป็นโอกาสทองที่นานทีมีหน และเชื่อว่าสุดท้ายเดี๋ยวจะได้เห็น ลูกอ๊อด หางยาว อย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ซึ่งสุดท้ายพอข่าวลือซาลง SET Index ก็ทำแท่งเทียน Hammer หางยาวกว่า 100 จุด โชว์ออกมาให้เห็นจริงๆ
การลงทำ Low ลึกวินาศเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา เชื่อว่าแรงขายที่กดดันตลาดมาตั้งแต่สัปดาห์ก่อนหน้า น่าจะขายกันไปเกือบหมดแล้ว นับจากนี้ ด้วย อิทธิพลของ Hammer ที่สวยขนาดนี้ น่าจะทำให้วันนี้เกิดการฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะกลับไปทดสอบได้ที่แนวต้าน 1,516 จุด ทั้งนี้ ถ้ายังไม่ผ่านแนวนี้ คาดว่าดัชนียังมีโอกาสซึมลงมาอีกครั้ง แต่จะไม่ทำ Low ลึกไปกว่า 1,375 จุดอีกแล้ว
กลยุทธ์การลงทุน Investment Tactic :
1.หุ้นตกเกินพื้นฐาน แม้หลังปรับลดกำไรตลาดปีนี้ 3.6% และปีหน้า 3.4% ทำให้ SET มีค่า Expected P/E 14 เท่า เป็นระดับที่น่าสนใจ จึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น 50% จากเดิม 30% และยังแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันขาลง เลือก RCL(FV@B11.8), AAV(FV@B6) เป็น Top picks 2.Portfolio Update : ADVANC, AP, AIT, BA, ERW, STPI, INTUCH
ประกิต สิริวัฒนเกตุ
Prakit Siriwattanaket
Strategist and Technical Analyst
ASIA PLUS SECURITIES PUBLIC CO LTD
prakit@asiaplus.co.th