“วรุต รุ่งขำ” ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส ประเมินทิศทางราคาทองคำว่า ราคาทองคำยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบจากปัจจัยบวกและลบที่สลับเข้ามามีผลต่อราคา แต่ปัจจัยบวกที่มีต่อราคาทองคำมากสุดคือ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังสกุลเงินเยน ญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นมา จึงส่งผลเชิงบวกต่อทิศทางราคาทองคำ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากการนำเข้าทองคำของจีน และอินเดียที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับธนาคารกลางรัสเซีย ที่ยังสะสมทองคำเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ทำให้ราคาทองคำช่วงนี้ขยับตัวเพิ่มขึ้นได้ไม่ไกลมากนัก
ขณะที่เงินยูโรยังอ่อนค่า ตามการส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งปัจจัยดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลง และเกิดแรงขายออกมา
“สัปดาห์นี้ยังต้องดูการเคลื่อนไหวสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐฯ จะเปิดเผยประมาณการ GDP ครั้งที่ 2 ในไตรมาส 3 และการเปิดเผยตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการ และจะปิดทำการในวันขอบคุณพระเจ้า”
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจำเป็นต้องจับตาดูการประชุมของกลุ่มโอเปก เพราะหากราคาน้ำมันยังคงอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยที่จะกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงตาม รวมถึงการโหวตของประชาชนชาวสวิสเซอร์แลนด์ว่าจะยอมให้ใช้ทองคำเป็นทุนสำรองของประเทศ 20% หรือไม่ หลังผลสำรวจประเด็นดังกล่าวก่อนหน้าพบว่า ประชาชนไม่ต้องการให้ใช้ทองคำเป็นทุนสำรองถึง 20% จนทำให้เป็นปัจจัยกระทบต่อทองคำในช่วงที่ผ่านมา
ทำให้กลยุทธ์การลงทุน ต้องจับตาหากราคาทองคำยืนเหนือ 1,200 เหรียญ/ออนซ์อย่างแข็งแกร่ง ก็อาจจะเห็นการปรับฐานที่มีโอกาสขยับขึ้นไปถึง 1,220 เหรียญ/ออนซ์ แต่หากไม่สามารถยืนเหนือ 1,200 เหรียญ/ออนซ์ การปรับฐานของราคาทองคำต้องมาดูที่ 1,160 เหรียญ/ออนซ์อีกครั้ง หากตั้งฐานได้จะมีโอกาสดีตัวขึ้นต่อ แต่ถ้าตั้งฐานไม่ได้ก็มีโอกาสลงมาที่แนวรับ 1,130 เหรียญ/ออนซ์ นอกจากนี้ ควรติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย
