ปัจจัยต่างประเทศดันดัชนีหุ้นไทยพุ่ง 10 จุด นักวิเคราะห์ลุ้นผล ครม.พิจารณาอนุมัติโครงการรถไฟรางคู่ ขณะเดียวกัน ระวังอนุมัติการจัดเก็บภาษีประชาชนเพิ่มเติม ทั้งภาษีมรดก, ภาษีทรัพย์สิน, และภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT กดดันดัชนีระยะสั้น
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 ปิดที่ 1,590.14 จุด เพิ่มขึ้น 10.94 จุด เปลี่ยนแปลง +0.69% มูลค่าการซื้อขาย 49,361.23 ล้านบาท ระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ 1,592.20 จุด และต่ำสุดที่ 1,584.54 จุด โดยสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2,123.23 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 208.36 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,469.84 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 3,801.43 ล้านบาท
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวดัชนีวานนี้ (24 พ.ย.) ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นภูมิภาค หลังธนาคารกลางจีนสร้างเซอร์ไพรส์เชิงบวกด้วยการประกาศลดดอกเบี้ยในเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 พ.ย.) นำโดยหุ้นใหญ่ในกลุ่ม Bank, ICT และ Energy สอดคล้องต่อแรงซื้อจากกองทุน LTF/RMF ในช่วง 2 เดือนสุดท้าย
พร้อมคาดการณ์ วันนี้ดัชนีมีแนวโน้มผันผวนเพราะปรับขึ้นใกล้ 1,600 จุด คาดแนวรับ 1,580 จุด แนวต้าน 1,593-1,600 จุด โดยแนะนำให้ทยอยซื้อหุ้น เพื่อขายทำกำไรบางส่วนบริเวณ 1,600 จุด จากปัจจัยบวกต่างประเทศ และเงินลงทุนในประเทศหลังงาน SET In the City ซึ่งสนับสนุนการหมุนเข้าหุ้น Big Cap เช่น ADVANC, INTUCH, SCB, BBL, KTB, SPALI, LPN, AP ขณะที่หุ้นกลุ่ม Construction service โดยเฉพาะ ITD มีมูลค่าการซื้อขายสูงขึ้นมาจากการเก็งการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.วันนี้เรื่องการอนุมัติรถไฟรางคู่ไทย-จีน
สอดคล้องกับ นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ ระบุวันนี้ ตลาดหุ้นจะยังสามารถเคลื่อนไหวในแดนบวกได้แต่อาจเริ่มแกว่งตัวในกรอบแคบ พร้อมให้แนวรับ 1,570-1,580 จุด ส่วนแนวต้าน 1,600 จุด โดยนักลงทุนต้องติดตามการประชุม ครม.ในการพิจารณาอนุมัติโครงการรถไฟรางคู่ และคาดว่าตลาดฯ อาจได้แรงหนุนจากกรณี หรือ MSCI Index จะปรับตะกร้าหุ้นในการคำนวณดัชนีใหม่
ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส เตือนในระยะสั้นเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยอาจจะยังขาดปัจจัยหนุนที่สำคัญ นอกเหนือจากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศ ที่เกิดจากความต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อประหยัดภาษี ซึ่งจากการศึกษาพบว่า โดยปกติแรงซื้อราว 70% ของยอดซื้อกองทุน LTF ทั้งปีจะมากระจุกตัวอยู่ในไตรมาสสุดท้ายของปี
ทั้งนี้ ปัจจัยที่เชื่อว่าจะเข้ามากดดันตลาดหุ้นน่าจะเป็นเรื่องของการจัดเก็บภาษีประชาชนเพิ่มเติม ทั้งภาษีมรดก, ภาษีทรัพย์สิน และภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT จากปัจจุบันที่เก็บอยู่ 7% โดยมีเป้าหมายจะเก็บเพิ่มอีก 3% เป็น 10% ในปีหน้า ซึ่งจะกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนในประเทศในระยะสั้นๆ หรือในช่วงที่มีการปรับตัว โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น BIGC, MAKRO, CPALL, HMRPO เป็นต้น จะได้ผลกระทบโดยตรง เพราะคาดว่าราคาขายสินค้าจะถูกปรับเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกับการขึ้น VAT ซึ่งในที่สุดจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นเลือกหุ้นเป็นรายตัวที่มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง พร้อมกับมีเงินปันผล
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 ปิดที่ 1,590.14 จุด เพิ่มขึ้น 10.94 จุด เปลี่ยนแปลง +0.69% มูลค่าการซื้อขาย 49,361.23 ล้านบาท ระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ 1,592.20 จุด และต่ำสุดที่ 1,584.54 จุด โดยสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2,123.23 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 208.36 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,469.84 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 3,801.43 ล้านบาท
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวดัชนีวานนี้ (24 พ.ย.) ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นภูมิภาค หลังธนาคารกลางจีนสร้างเซอร์ไพรส์เชิงบวกด้วยการประกาศลดดอกเบี้ยในเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 พ.ย.) นำโดยหุ้นใหญ่ในกลุ่ม Bank, ICT และ Energy สอดคล้องต่อแรงซื้อจากกองทุน LTF/RMF ในช่วง 2 เดือนสุดท้าย
พร้อมคาดการณ์ วันนี้ดัชนีมีแนวโน้มผันผวนเพราะปรับขึ้นใกล้ 1,600 จุด คาดแนวรับ 1,580 จุด แนวต้าน 1,593-1,600 จุด โดยแนะนำให้ทยอยซื้อหุ้น เพื่อขายทำกำไรบางส่วนบริเวณ 1,600 จุด จากปัจจัยบวกต่างประเทศ และเงินลงทุนในประเทศหลังงาน SET In the City ซึ่งสนับสนุนการหมุนเข้าหุ้น Big Cap เช่น ADVANC, INTUCH, SCB, BBL, KTB, SPALI, LPN, AP ขณะที่หุ้นกลุ่ม Construction service โดยเฉพาะ ITD มีมูลค่าการซื้อขายสูงขึ้นมาจากการเก็งการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.วันนี้เรื่องการอนุมัติรถไฟรางคู่ไทย-จีน
สอดคล้องกับ นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ ระบุวันนี้ ตลาดหุ้นจะยังสามารถเคลื่อนไหวในแดนบวกได้แต่อาจเริ่มแกว่งตัวในกรอบแคบ พร้อมให้แนวรับ 1,570-1,580 จุด ส่วนแนวต้าน 1,600 จุด โดยนักลงทุนต้องติดตามการประชุม ครม.ในการพิจารณาอนุมัติโครงการรถไฟรางคู่ และคาดว่าตลาดฯ อาจได้แรงหนุนจากกรณี หรือ MSCI Index จะปรับตะกร้าหุ้นในการคำนวณดัชนีใหม่
ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส เตือนในระยะสั้นเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยอาจจะยังขาดปัจจัยหนุนที่สำคัญ นอกเหนือจากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศ ที่เกิดจากความต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อประหยัดภาษี ซึ่งจากการศึกษาพบว่า โดยปกติแรงซื้อราว 70% ของยอดซื้อกองทุน LTF ทั้งปีจะมากระจุกตัวอยู่ในไตรมาสสุดท้ายของปี
ทั้งนี้ ปัจจัยที่เชื่อว่าจะเข้ามากดดันตลาดหุ้นน่าจะเป็นเรื่องของการจัดเก็บภาษีประชาชนเพิ่มเติม ทั้งภาษีมรดก, ภาษีทรัพย์สิน และภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT จากปัจจุบันที่เก็บอยู่ 7% โดยมีเป้าหมายจะเก็บเพิ่มอีก 3% เป็น 10% ในปีหน้า ซึ่งจะกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนในประเทศในระยะสั้นๆ หรือในช่วงที่มีการปรับตัว โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น BIGC, MAKRO, CPALL, HMRPO เป็นต้น จะได้ผลกระทบโดยตรง เพราะคาดว่าราคาขายสินค้าจะถูกปรับเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกับการขึ้น VAT ซึ่งในที่สุดจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นเลือกหุ้นเป็นรายตัวที่มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง พร้อมกับมีเงินปันผล