xs
xsm
sm
md
lg

บีทีเอส ชี้เหตุดึงแสนสิริร่วมลงทุน ยอมรับไม่ชำนาญธุรกิจอสังหาฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คีรี กาญจนพาสน์
บีทีเอส เผยเหตุดึงแสนสิริร่วมลงทุน ยอมรับไม่เชี่ยวชาญธุรกิจอสังหาฯ ดึงจุดแข็งวิสัยทัศน์การลงทุนอสังหาฯ ด้านแสนสิริระบุที่ดินแนวรถไฟฟ้าของบีทีเอส-ธุรกิจโฆษณา VGI เอื้อประโยชน์ พร้อมยืนยันร่วมลงทุนระยะยาว ขณะที่บีทีเอสรายได้จากธุรกิจอสังหาฯ ปี 57/58 ทะลุ 3,000 ล้านบาท

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) BTS เปิดเผยถึงการร่วมลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระหว่างบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ว่า ที่ผ่านมา บีทีเอส กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจ 4 ประเภท ได้แก่ เดินรถ,โฆษณา VGI, บริการ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี ยกเว้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังถือว่าชะลอตัวบ้าง ทั้งๆ ที่บริษัทฯ มีที่ดินสะสมในทำเลที่มีศักยภาพหลายแปลง ดังนั้น จึงต้องการบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ที่ดินของบริษัท

“ยอมรับว่าไม่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนา ดังนั้น จึงได้มีการปรับแนวคิดในการลงทุนใหม่ ด้วยการหันไปร่วมลงทุนพัฒนาอสังหาฯ กับแสนสิริ เพราะเห็นว่า แสนสิริเป็นบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ในการลงทุนด้านอสังหาฯ ที่ดีมากบริษัทหนึ่ง อีกทั้งแสนสิริยังเป็นผู้ถือหุ้นในบีทีเอสเป็นรายแรกๆ นับตั้งแต่บีทีเอสเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยอาศัยความแข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัทมาเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน” นายคีรี กล่าว

ปัจจุบัน บีทีเอสมีที่ดินติดแนวรถไฟฟ้ารวมกว่า 30 ไร่ ได้แก่ ที่ดินบริเวณรถไฟฟ้าหมอชิต จำนวน 5 ไร่ (จากที่หมด 16 ไร่ โดยแบ่งที่ดิน 11 ไร่ ไปแลกหุ้นกับเอ็นพาร์ค), ที่ดินพญาไท 4 ไร่ (แลกหุ้นกับเอ็นพาร์ค) และพหลโยธิน 5 ไร่ อีกทั้งยังมีที่ดินนอกแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายใน กทม. อีกหลายแปลง อาทิ แปลงติดแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านราษฎร์บูรณะ 27 ไร่ ตรงข้ามธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่, และยังมีที่ดินในต่างจังหวัด อีกหลายพันไร่ นอกจากนี้ยังมีแผนซื้อที่ดินแนวรถไฟฟ้าเพิ่มเดิมเพื่อนำมาพัฒนาในบริษัทร่วมทุน

“ส่วนของการเข้าไปถือหุ้นในเอ็นพาร์ค ที่บริษัทตั้งเป้าถือหุ้นเกินกว่า 37% ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนธันวาคม หากสำเร็จบีทีเอสจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งจะเห็นการเปลี่ยนของเอ็นพาร์คว่าจะดำเนินธุรกิจแบบไหน แต่ธุรกิจจะไม่ซ้ำซ้อนกัน”

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า การที่บริษัทฯ จะร่วมพัฒนาโครงการกับใคร ไม่ใช่เพียงเงินลงทุนเท่านั้น แต่ต้องมีผลประโยชน์อย่างอื่นมาเสริมซึ่งกันและกันด้วย ซึ่งการร่วมทุนกับบีทีเอสจะสามารถพึ่งพาอาศัยกันได้อีกมาก ซึ่งที่ผ่านมาแสนสิริพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้ามาโดยตลอด การหาซื้อที่ดินแปลงที่มีศักยภาพตามแนวรถไฟฟ้าทำได้ยากขึ้นเรื่อย อีกทั้งมีราคาแพง การร่วมลงทุนกับบีทีเอสที่มีที่ดินแลนด์แบงก์ในมือจำนวนมาก ย่อมส่งผลดีกับบริษัทอย่างแน่นอน

ในเบื้องต้นทั้ง 2 บริษัทวางเม็ดเงินลงทุนไว้บริษัทละ 5,000 ล้านบาท รวมเป็น 10,000 ล้านบาท ที่จะสามารถนำไปพัฒนาโครงการได้รวมมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการที่พัฒนาจะต้องมีมูลค่ามากกว่า 3,000 ล้านบาท โดยในปี 2558 บริษัทร่วมทุนมีแผนพัฒนาโครงการติดแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบันและอนาคต ประมาณ 2-3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท

สำหรับโครงการแรก จะนำที่ดินของบีทีเอสบริเวณสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต จำนวน 5 ไร่ จากที่ดินทั้งหมด 16 ไร่ มาพัฒนาคอนโดมิเนียม สูง 43 ชั้น จำนวน 900 ยูนิต มูลค่าโครงการทั้งสิ้น 5,300 ล้านบาท ซึ่งจะใช้เม็ดเงินลงทุน 1,200 ล้านบาท กำหนดเปิดการขายในเดือนมีนาคม 2558 และเริ่มรับรู้รายได้ใรปี 2560 เป็นต้นไป เนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการตามแผนเดิมของบีทีเอสที่ได้จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA แล้ว จึงสามารถพัฒนาได้เลย

“ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนการตลาดว่าจะพัฒนาโครงการในบริษัทร่วมทุนในรูปแบบใด โดยจะต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งการร่วมทุนในครั้งนี้จะไม่มีจุดว่าสิ้นสุดเมื่อใด แต่จะเป็นการร่วมลงทุนในระยะยาว”

ด้านนายรังสิน กฤตลักษณ์ กรรมการบริหาร/ผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทั้งนี้ การที่บีทีเอสกรุ๊ปได้ขายที่ดิน 5 ไร่จากพื้นที่ทั้งหมด 16 ไร่ บริเวณหมอชิตให้กับบริษัทร่วมทุนแสนสิริบีทีเอส คิดเป็นมูลค่า 1,400 ล้านบาทนั้น บริษัทฯ จะบันทึกรับรู้เป็นรายได้จากการขายที่ดินดังกล่าวในไตรมาส 3 ปี 2557/58 (ต.ค.-ธ.ค.57) โดยในปีนี้บีทีเอสจะมีรายได้จากธุรกิจอสังหาฯจำนวน 3,000 ล้านบาท โดยมาจากขายที่อยู่อาศัย โรงแรมและสนามกอล์ฟ โดยที่ผ่านมาจะมีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากในปีนี้มีการโอนห้องชุดในโครงการแอ็บสแตร็กส์ พหลโยธิน พาร์ค ที่ปัจจุบันเหลือขายประมาณ 70 ยูนิต

ปัจจุบัน บีทีเอส กรุ๊ป มีกระแสเงินสดรวม 3.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งการร่วมทุนกับแสนสิริ หากมีผลกำไรจาการการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุนก็จะรับรู้เฉพาะกำไรสุทธิตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่านั้น ไม่ได้รับรู้รายได้จากบริษัทดังกล่าว

 

กำลังโหลดความคิดเห็น