โบรกฯ ชี้ภาวะตลาดหุ้นไทยเข้าสู่โหมดต้องระมัดระวัง ระบุยังขาดปัจจัยกระตุ้นในช่วงสั้น และมีความเสี่ยงเพียบ แนะลดพอร์ตถือเงินสด พร้อมแจงผลกระทบ สัญญาณ “เฟด” เข้มงวดนโยบายเร็วกว่ากำหนด และจะมีผลกระทบโดยตรงต่อแยงกี้บอนด์ รุ่นอายุสั้น ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐส่อแข็งค่า หลังปริมาณสถานะ Long position ของ Hedge fund ในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ขณะนี้อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสถิติที่ผ่านมา จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่รวมถึงหุ้นไทย เชื่อมีโอกาสปรับตัวลง 3.9% และ 2.2% ในช่วงเวลา 1 เดือนหลังจากนี้
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ปรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ภาวะต้องระมัดระวัง เนื่องจากคาดการณ์ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) จะเผชิญต่อความเสี่ยงมากขึ้น เพราะไม่มีปัจจัยบวกจากต่างประเทศในระยะสั้น หลังจากอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ล่าสุด ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 6% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ก.ค.51 ส่งผลให้มีโอกาสสูงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะส่งสัญญาณเข้มงวดนโยบายเร็วกว่ากำหนด และจะมีผลกระทบโดยตรงต่อการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะรุ่นอายุสั้น
ขณะเดียวกัน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีโอกาสจะปรับตัวแข็งค่าต่อไปในระยะยาว (Secular trend) หลังปริมาณสถานะ Long position ของ Hedge fund ในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ณ ขณะนี้อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสถิติที่ผ่านมา จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ รวมถึง SET Index มีโอกาสปรับตัวลง 3.9% และ 2.2% ในช่วงเวลา 1 เดือนหลังจากนี้
“จากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น บวกกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มแข็งค่า เชื่อว่าจะมีผลต่อการเร่งปิดสถานะการกู้เงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อนำไปลงทุนยังต่างประเทศ (USD carry trade) และโยกเงินกลับสู่สหรัฐฯ เร็วขึ้น ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลออกจากประเทศเกิดใหม่ รวมถึงไทย ส่วนการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ต้องถือว่าน่าผิดหวังอย่างมาก หลังไม่มีความชัดเจนของมาตรการการเข้าซื้อตราสาร ABS และ Covered bond” นายณัฐชาต กล่าว
นอกจากนั้น ตลาดหุ้นไทยยังคงมีปัจจัยกดดันจากมูลค่า (Valuation) ที่อยู่ในระดับสูงแล้ว ทำให้ภาวะการลงทุนช่วงนี้มีความเสี่ยงมากขึ้น และดัชนี SET Index มีโอกาสอ่อนตัวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเข้าใกล้การประชุม FOMC วันที่ 28-29 ต.ค.นี้ อย่างไรก็ดี มองว่าการอ่อนตัวลงจะไม่ลึกมากอย่างมีนัยสำคัญ และน่าจะถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ระดับ 1,520-1,540 จุด เนื่องจากการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ทำให้โอกาสที่จะขายหุ้นออกมาอีกในปริมาณสูงมีน้อย ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ไม่ได้มีการปรับตัวขึ้นมาร้อนแรงเหมือนหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางในช่วงที่ผ่านมา
ประกอบกับมองว่าจะเริ่มมีเม็ดเงิน LTF/RMF ไหลเข้ามาในตลาดมากขึ้น หลังจากช่วง 8 เดือนแรกมีการไหลออกสุทธิของเม็ดเงิน LTF ประมาณ 2,600 ล้านบาท แต่คาดว่าในไตรมาส 4/57 จะมีการไหลเข้าของเม็ดเงิน LTF กว่า 20,000-25,000 ล้านบาท รวมถึงคาดว่ากองทุนทริกเกอร์ฟันด์ เตรียมเปิดกองใหม่แถวบริเวณดัชนีระดับ 1,520-1,540 จุด
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้หาจังหวะลดพอร์ตช่วงที่ SET Index มีการรีบาวนด์ โดยลดสัดส่วนลงทุนเหลือระดับประมาณ 30% หรือต่ำกว่า มองว่าจุดการเข้าสะสมหุ้นที่น่าสนใจอีกครั้ง ได้แก่ ช่วงระดับดัชนีบริเวณ 1,520-1,540 จุด หรือในช่วงหลังการประชุม FOMC ปลายเดือนนี้
หุ้นที่แนะนำให้สะสมในช่วงตลาดปรับตัวลง ได้แก่ 10 บริษัทประจำบทวิเคราะห์ The Big Picture เดือน ต.ค.ได้แก่ กลุ่มสื่อสารที่ยังคง Laggard ตลาด ได้แก่ INTUCH, THCOM กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เตรียมเข้าสู่ช่วงที่ดีที่สุดของปี ได้แก่ LH, LHBANK กลุ่มหุ้นที่มีเงินปันผลรองรับ ได้แก่ ASP, TICON กลุ่มที่ได้อานิสงส์การอ่อนค่าของเงินบาท ได้แก่ CPF, SVI และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคที่ฟื้นตัว ได้แก่ MACO, SAWAD