บอร์ดเอสพีซีจีสบโอกาส รัฐหนุนพลังงานทดแทนระยะยาว 15 ปีจับมือ บมจ.ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม ลงนามร่วมกันตั้งบริษัทร่วมทุนผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟขายการการไฟฟ้า ใช้เนื้อที่คลังสินค้าและโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมบางปะกง 6 หมื่นตารางเมตร ผลิตไฟฟ้าได้ 5 เมกะวัตต์
น.ส.วันดี กุญชรยาคง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอสพีซีจี หรือ SPCG ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาบ้านที่อยู่อาศัยหรือบนอาคารต่างๆ สามารถผลิตไฟฟ้าใช้ได้เองภายในบ้านในอาคารหรือโรงงาน หรือโซลาร์รูฟ กล่าวว่า ในการเซ็นสัญญาจัดตั้งบริษัทผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ บนหลังคาคลังสินค้าและโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมบางปะกงซึ่งมีเนื้อที่ 6 หมื่นตารางเมตร โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 5 เมกะวัตต์ เพื่อขายให้กับการไฟฟ้าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยจะมีการแบ่งสัดส่วนรายได้ที่เกิดขึ้นระหว่างกันในอัตราส่วน 50:50
“บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 15-20% ต่อเนื่องทุกปี ซึ่งจากในต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการระดมทุนด้วยการออก WARRANT ซึ่งทำให้ขณะนี้ บริษัทมีเงินสดเป็นทุนหมุนเวียนอยู่ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำเงินส่วนที่ได้ไปเน้นขยายงานเพิ่มขึ้น โดยเน้นกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ ประเทศลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะประเทศพม่า ยังคงมีความต้องการทางไฟฟ้าสูงในปริมาณมาก เนื่องจากจะเข้าสู่เสรีประชาคมอาเซียนในปี 2558 โดยขณะนี้ได้มีการเจรจากับพันธมิตรไว้แล้ว 1 รายในเมืองมัณฑะเลย์เป็นระบบไฟฟ้าแบบไฮบริดขนาดกำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ ซึ่งในต้นปีหน้าบริษัทฯ เตรียมที่จะเข้าไปจัดทำรายละเอียดเสนอต่อรัฐบาลพม่า ขณะที่บริษัทฯ ยังไม่มีแผนเข้าซื้อกิจการหรือ M&Aในปีนี้ เนื่องจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานจะต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการบริษัท บมจ. ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม หรือ TFD กล่าวว่า จากการที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันมีความเห็นชอบที่จะสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศโดยได้วางนโยบายระยะยาว 15 ปีในการรับซื้อไฟฟ้าจากประชาชน ซึ่งในอนาคตบริษัทเตรียมที่จะพัฒนาพื้นที่เพิ่มเพื่อใช้ผลิตพลังงานทดแทน และเตรียมเข้าสู่แผนการขายคาร์บอนเครดิตในอนาคตอีกด้วย
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีแผนที่จะขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REITs บนเนื้อที่ประมาณ 2 พันไร่ มูลค่าที่จะออกกองรีตส์ประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยจะเป็นที่ดินในเขตอุตสาหกรรมบางปะกง ซึ่งได้ผ่านการประชาพิจารณ์จากหน่วยงานตรวจสอบสิ่งแวดล้อมจากสีเขียวเป็นสีม่วงแล้ว ซึ่งในพื้นที่บริเวณนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ นอกจากนี้่ บริษัทยังได้เตรียมที่จะนำที่ดินจำนวน 20 ไร่ ซึ่งเป็นแวร์เฮาส์ เนื่อที่ประมาณ 15,000 ตารางเมตร ในประเทศอังกฤษเข้าร่วมในการออกกองรีตส์ครั้งนี้ด้วย