MBKET คาดหุ้นไทยทำนิวไฮช่วง Q4 ปีนี้ “มนตรี” เผยเห็นสัญญาณดีขึ้นตั้งแต่ Q2 พร้อมประเมินอีก 6 เดือนข้างหน้า จะมีแต่ปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนเศรษฐกิจไทย ส่วนตลาดไอพีโอที่ค่อนข้างร้อนแรง เป็นไปตามภาวะตลาดขาขึ้น การันตีหุ้นไทยไม่เกิดวิกฤตฟองสบู่ เพราะมาร์จิ้นโลนอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับมาร์เก็ตแคป
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 4 คาดว่า มีโอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นไทยขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ของปีนี้ ทั้งในแง่ของดัชนีและมูลค่าการซื้อขาย เนื่องจากเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นมา เป็นไปตามความเชื่อมั่นของนักลงทุนหลังจากปัญหาการเมืองในประเทศสงบลง
นายมนตรี ยังประเมินว่า อีก 6 เดือนข้างหน้า จะมีแต่ปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการบริโภคภายในประเทศ การใช้จ่ายของภาครัฐ การท่องเที่ยว รวมถึงการส่งออก ดังนั้น ดัชนีมีโอกาสขึ้นไปที่ระดับ 1,650 จุดได้ในปีหน้า อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรใช้วิจารณญาณซื้อหุ้นตามปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ไม่ควรใช้อารมณ์หรือเชื่อข่าวลือต่างๆ ที่ออกมา
“มองว่า มีโอกาสที่เราจะได้เห็นตลาดหุ้นไทยในลักษณะกระจกเงาสะท้อน จากไตรมาส 1 ปีที่แล้วที่ดัชนีขึ้นทำจุดสูงสุดและมีวอลุ่มในระดับสูง หลังจากนั้นก็ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในปีนี้เริ่มต้นปีด้วยการลงไปสู่จุดต่ำสุด และค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้วอลุ่มตลาดขึ้นมาใกล้ๆ ระดับ 60,000 ล้านบาทแล้ว จาก 30,000 ล้านบาทในช่วงต้นปี”
อย่างไรก็ดี แม้ตลาดหุ้นจะอยู่ในช่วงขาขึ้นนักลงทุนอย่าได้ชะล่าใจ อย่าใช้อารมณ์หรือตามกระแสข่าวลือต่างๆ ควรศึกษาปัจจัยพื้นฐานให้รอบคอบว่า ราคาหุ้นขณะนั้นสมเหตุสมผลและมีปัจจัยพื้นฐานรองรับหรือไม่ ส่วนตลาดไอพีโอที่ค่อนข้างร้อนแรงในระยะหลัง เป็นไปตามภาวะตลาดหุ้นที่อยู่ในช่วงขาขึ้น การตั้งราคาก็สมเหตุสมผลซึ่งปกติต้องมีส่วนลดให้กับนักลงทุน
ส่วนความเสี่ยงของการเกิดฟองสบู่กับตลาดหุ้นไทยนั้น นายมนตรี ยืนยันว่า ในปัจจุบันถือว่ามีโอกาสน้อยมาก เนื่องจากสัดส่วนการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ (มาร์จิ้น โลน) อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับมาร์เก็ตแคปของตลาด โดยปัจจุบันมีวงเงินมาร์จิ้นโลนในระบบเพียง 50,000-55,000 ล้านบาท เทียบกับมาร์เก็ตแคปของตลาดที่อยู่ประมาณ 14 ล้านล้านบาท ขณะที่ในช่วงที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งมีมาร์จิ้นโลนอยู่ในระบบ 120,000 ล้านบาท ขณะที่มาร์เก็ตแคปอยู่ที่เพียง 3.5 ล้านล้านบาทเท่านั้น
“เรื่องฟองสบู่ไม่น่ากังวลมากนัก เพราะมาร์จิ้นโลนต่ำมากเมื่อเทียบกับช่วงต้มยำกุ้ง ซึ่งการที่มาร์จิ้นโลนต่ำก็ทำให้ความเสี่ยงที่จะถูกฟอร์ซเซลและกดราคาหุ้นให้ร่วงหนักๆ จะเกิดขึ้นน้อยลง ขณะที่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจก็อยู่ในระดับที่ดีรองรับกับพื้นฐานที่ควรจะเป็น อีกทั้งในปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนไทยมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งมาก” นายมนตรี กล่าวสรุป