-“ศุภาลัย” เผยแนวโน้มตลาดครึ่งปีหลังเป็นของรายใหญ่ หลังแบงก์ชะลอปล่อยกู้โครงการรายเล็ก-รายย่อย ส่งผลโครงการใหม่เข้าตลาดน้อย ขณะรายใหญ่สภาพคล่องสูงผุดโครงการได้ต่อเนื่อง มองกำลังซื้อครึ่งปีหลังปรับตัวดี พร้อมเดินหน้าผุดโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท หวังดันยอดขายเข้าเป้า 22,000 ล้านบาท
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม รองกรรมการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรกค่อนข้างชะลอตัวจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและปัญหาการเมือง ทำให้มีการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ ขณะเดียวกัน การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อโครงการแก่ผู้ประกอบการรายเล็กและรายย่อย ก็ส่งผลต่อการพัฒนาโครงการทำให้ในปีนี้มีซัปพลายเข้าตลาดต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดจะมีซัปพลายใหม่เข้ามาน้อยเพราะผู้ประกอบการรายย่อยและรายเล็ก ทำโครงการได้ยากขึ้น แต่ในส่วนของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังคงมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพราะได้เปรียบด้านสภาพคล่องที่ดีกว่า ดังนั้นปีนี้จึงเป็นปีของผู้ประกอบการรายใหญ่อีกปีหนึ่ง
โดยล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมหรูแห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ “ศุภาลัย เอลีท พญาไทย” บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่เศษ 1 อาคาร สูง 31 ชั้น จำนวน 258 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท โดยมีราคาขายเริ่มต้น 4.4-18.6 ล้านบาท หรือราคาขายต่อตารางเมตร 11,000 บาท โดยจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 27-28 ก.ย. และตั้งเป้าว่า สิ้นปีนี้จะมียอดขายประมาณ 1,900 ล้านบาท หรือประมาณ 90%
นอกจากนี้ ยังมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่ม 11 โครงการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 7 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท
“บริษัทประมาณการว่าปี 2558 จะเปิดตัวโครงการใหม่เท่าๆ กับปีนี้ โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทใช้งบ 5,000 ล้านบาท ในการซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปีหน้า ซึ่งขณะนี้ใช้ไปแล้ว 3,000 ล้านบาท”
สำหรับปีนี้ บริษัทตั้งเป้าจะมียอดขาย 22,000 ล้านบาท จากต้นปีถึงเดือน ส.ค. มียอดขายแล้ว 13,000 ล้านบาท ส่วนยอดการโอนกรรมสิทธิ์ บริษัทวางเป้าปีนี้อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท ครึ่งปีแรกทำได้ 7,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าได้ตามเป้าเนื่องจากยังเหลือโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านที่รอโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 9,000 ล้านบาท และแนวราบ 3,000 ล้านบาท