xs
xsm
sm
md
lg

ดอลลาร์แข็งค่ากดราคาทองซึมยาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง กดราคาทองโลกดิ่ง นักวิเคราะห์หวั่นหลุด 1,1180 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  ขณะที่เงินบาทยังคงอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน  หวังความต้องการทองในฐานทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางทั่วโลก และความต้องการทองในตลาดรายย่อยจะพยุงราคาทองคำไม่ให้หลุดแนวรับจิตวิทยา 1,260 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

                นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการ สมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำเริ่มซึมลงตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา โดยปรับตัวลงต่ำสุดที่ 1,255 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  จากนั้นก็แกว่งตัวซึมลงต่อเนื่อง  แม้แถลงการณ์ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FOMC เฟด จะระบุชัดเจนว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนถึงปลายปี 2558 แต่การแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ก็ส่งผลให้มีการเปลี่ยนผ่านจากการลงทุนในทองคำ กลับไปถือเงินดอลลาร์ หรือเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อเมริกาแทน 

                นายพิชญา ระบุว่า ราคาทองปรับตัวลงต่ำสุดอีกครั้งช่วงคืนวันที่ 18 กันยายน 2557 ที่ 1,217 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก่อนจะดีดตัวกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวที่ 1,222 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในวันที่ 19 กันยายน 2557 โดยสาเหตุหลักยังคงมาจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์  ประกอบกับภาวะสงครามระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มจะยืดเยื้อไร้ข้อยุติ

“เท่าที่สังเกตเมื่อคืนวันที่ 18 แม้ว่าราคาทองจะทำ “นิวโลว์” แต่กองทุนขนาดใหญ่ในต่างประเทศกลับไม่มีการเทขายทองออกมา มีแต่ทยอยซื้อสะสมกลับเข้าไป ดังนั้น คาดว่าราคาทองในตลาดโลกไม่น่าจะหลุดแนวรับที่ 1,255 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดที่ทำไว้” นายพิชญา กล่าว

              ส่วนความเคลื่อนไหวของราคาทองคำในประเทศมีส่วนสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาท  ราคาทองคำในตลาดโลก และค่าเงินดอลลาร์  ดังนั้น คาดว่าน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ18,400-19,300 บาทต่อน้ำหนักทองคำหนึ่งบาท

ด้านนายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า การที่ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี แตะระดับ 33.02-33.04 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นสาเหตุหลักทำให้ราคาทองคำในประเทศไม่ให้ปรับลดลงต่ำมากเท่าราคาทองในตลาดโลก เเพราะอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาททุก 10 สตางค์ ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวราคาทองคำในประเทศ 70-75 บาทต่อน้ำหนักทองคำหนึ่งบาท

“เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ประกอบกับทิศทางราคาหุ้นในสหรัฐอเมริกาปรับสูงขึ้น เป็นปัจจัยดึงดูดให้นักลงทุนนำเงินเข้าไปลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น ระยะนี้นักลงทุนทองคำต้องติดตามข้อมูลของค่าเงินบาทเป็นหลัก ก่อนตัดสินใจเข้าลงทุน และควรเป็นการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น” นายกมลธัญ กล่าว

               นายสัญญา หาญพัฒนกิจพานิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. โกลเบล็ก ระบุว่า แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะยืนยันว่า สหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีกระยะ แต่จากการประเมินแนวทางาการดำเนินงานของนางเจเน็ต เยเลน ประธานเฟด จะใช้วิธีประกาศล่วงหน้า เพื่อให้ตลาดได้ปรับตัวล่วงหน้า  ดังนั้น เงินดอลลาร์จึงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะทราบว่าสุดท้ายเฟดก็ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย  ดังนั้น ต้องจับตาระยะ 1-2 เดือนนี้ว่าราคาทองคำในตลาดโลกจะสามารถยืนเหนือแนวรับจิตวิทยาที่ 1,255-1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้หรือไม่ หากยืนได้จะสามารถดีดกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 1,330 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้อีกครั้งในปลายปี 2557 นี้

“เท่าที่ดูตอนนี้มีแต่ดอลลาร์เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาทองคำ ประกอบกับความรุนแรงในแต่ละพื้นที่เริ่มซาลง ทำให้ทองคำลดความสำคัญในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยลง จึงต้องจับตาว่าราคาทองคำจะสามารถยืนเหนือแนวต้านจิตวิทยาได้หรือไม่ หากยืนได้มีแนวโน้มจะดีดกลับเร็ว และแรง แต่ถ้าหลุดลงไปก็จะซึมลงระยะกลาง” นายสัญญา กล่าว

            ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.โกลเบล็ก กล่าวถึงกรณีที่จะกดดันราคาทองคำให้หลุดแนวรับจิตวิทยาได้ คือ กรณีที่ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตัวเลขการว่างงาน และอัตราดอกเบี้ยสำคัญ เนื่องจากจะเป็นเครื่องยืนยันว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งแล้ว ทั้งนี้ การที่ประเทศขนาดใหญ่อย่างสหภาพยุโรป และจีน ใช้มาตราการอัดฉีดสภาพคล่อง น่าจะส่งผลให้สภาพคล่องล้นระบบ และอัตราเงินเฟ้ออาจขยับเข้าใกล้ 2% ตามที่เฟดต้องการอย่างรวดเร็ว  อย่างไรก็ตาม คาดว่าเฟดจะพิจารณาดำเนินมาตรการเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยอย่างระมัดระวัง

“ถ้าเฟดจะดูดซับสภาพคล่องกลับเข้าไปก็ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะเป็นกลไกที่ใช้ได้เร็วที่สุด ดังนั้นระยะ 1-2 เดือนนี้ นักลงทุนคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะหากราคาทองหลุดแนวรับจิตวิทยา 1,180 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ลงซึมยาว แต่หากสามารถยืนเหนือ 1,260 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ คาดว่าธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะเข้ามาสะสมทองเพื่อใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น เพราะขณะนี้ธนาคารชาติ แห่งประเทศสวิตเซอร์แลนด์กำลังพิจารณาเพิ่มสัดส่วนทองคำขึ้นเป็น 20% จากเดิม 10% หากสวิตฯ ทำ ธนาคารอื่นก็น่าจะทำตาม  ประกอบกับเข้าสู่ช่วงสิ้นปี ตรุษจีน จะเริ่มมีความต้องการทองคำในตลาดเพิ่มขึ้น น่าจะทำให้ราคาทองดีดกลับขึ้นมาที่ 1,330 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้” นายสัญญา กล่าว

                ขณะที่ น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวถึงกรณีที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกดดันราคาทองในขณะนี้ ว่า เนื่องจากค่าเงินสหรัฐแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนเปลี่ยนมือจากทองคำไปถือดอลลาร์ในระยะสั้น  อย่างไรก็ตาม การที่จีนเปิด “เซี่ยงไฮ้ โกลด์ ฟิวเจอร์” เมื่อคืนนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในวงการทองคำ  คาดว่าในระยะ 5 ปีข้างหน้า เอเชียจะมีบทบาทในการกำหนดความเคลื่อนไหวค่าเงิน และราคาทองคำมากขึ้น เพราะปัจจุบันจีนเป็นผู้บริโภคทองคำอันดับ 1 ของโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น