อลิอันซ์อยุธยา ประกันชีวิต เผยบรรยากาศลงทุนไทยดีต่อเนื่อง ต่างชาติทยอยกลับเข้าลงทุนอีกครั้ง แต่ระบุบางส่วนยังลังเล รอการเลือกตั้ง และรัฐบาลที่มีเสถียรภาพก่อนตัดสินใจ มั่นใจทั้งปีผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทแตะ 5.6 พันล้านบาท หลังไตรมาสแรกทำผลงานเกินเป้าทำกำไรไปแล้ว 1.4 พันล้านบาท
นายอูลฟ์ แลงจ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงิน บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนของไทยต่อจากนี้น่าจะพื้นตัวได้ดีขึ้น หลังจากเศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของจีดีพีในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1.5% และจะเห็นได้ว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความมั่นใจกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากมีการเทขายหุ้นออกไปในช่วงที่่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการลงทุนจากต่างชาติจะยังไม่กลับมาเป็นปกติ เพราะยังมีบางส่วนที่มีความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองไทยอยู่ ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนเต็มที่ได้อีกครั้งนั้นจะขึ้นอยู่กับเสถียรภาพทางการเมือง และการประกาศจัดการเลือกตั้งที่มีกำหนดเวลาชัดเจน
“ตอนนี้ถ้าอยู่ในเมืองไทยจะรู้สึกว่าบรรยากาศมันดีขึ้น แต่มุมมองของต่างชาติจากสื่อที่ออกไปมันยังเป็นอีกมุมหนึ่ง ซึ่งบางส่วนจะต้องใช้เวลาตัดสินใจ โดยดูจากการกำหนดวันเลือกตั้ง หรืออาจเป็นช่วงหลังเลือกตั้งออกไปอีกว่าการเลือกตั้งนั้นจะนำมาซึ่งเสถียรภาพในการบริหารประเทศหรือไม่ แต่โดยรวมแล้วความมั่นใจต่อตลาดไทยของนักลงทุนต่างชาติเริ่มปรับตัวยดีขึ้นกว่าตอนที่มีการประกาศกฎอัยการศึกมาก”
นายอูลฟ์ แลงจ์ กล่าวอีกว่า นอกจากปัจจัยในประเทศแล้วความเสี่ยงในประเทศยังมีผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศไทย โดยสิ่งที่จะต้องติดตามหลังจากนี้คือการยกเลิกการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งคาดว่าจะมีผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในช่วงกลางปี 2558 นอกจากนี้ ด้านความกังวลต่อวิกฤตหนี้สาธารณะในประเทศยุโรปจะยังคงดำเนินต่อไป และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯ ที่ไม่แน่นอนจะทำให้ตลาดในต่างประเทศเกิดความผันผวนและส่งผลกระทบต่อมายังประเทศไทยเช่นกัน
คาดปี 58 กำไรลงทุน 5.6 พันล้านบาท
นายอูลฟ์ แลงจ์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มการลงทุนของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะมีผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 5.6 พันล้านบาท หลังจากในช่วงไตรมาสแรกของปีบริษัทสามารถทำรายได้จากการลงทุนอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท ซึ่งมากกว่าผลตอบแทนที่บริษัทคาดการณ์ไว้ โดยบริษัทจะยังคงยึดกลยุทธ์การลงทุนที่สร้างความมั่นคงและให้ผลตอบแทนในระยะยาวเป็นหลัก
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์การลงทุนทั้งสิ้น 1.174 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจประมาณ 59% หุ้นกู้เอกชน 5% หุ้นและอสังหาริมทรัพย์ 5% หุ้นกู้ภาครัฐ 6% เงินกู้จากกรมธรรม์ 5% เงินฝากประจำ 7% ตั๋วแลกเงิน 10% และอื่นๆ 3%
“การลงทุนของเราจะเน้นระยะยาวและสอดคล้องกับกรมธรรม์ของลูกค้า ซึ่งเราจะมีการประเมินการลงทุนทุก 3 เดือน โดยช่วงที่ผ่านมาพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว 10 ปีมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมาก เราก็มีการปรับลดหุ้นกู้เอกชนที่ครบกำหนดมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลแทน ส่วนการลงทุนในหุ้นได้มีการขายทำกำไรไปบ้าง และหลังจากนี้หากจะลงทุนต่อคงจะเลือกหุ้นในกลุ่มที่มีปันผลสูงเป็นหลัก และการลงทุนของบริษัทส่วนใหญ่จะอยู่ภายในประเทศและเป็นสกุลเงินบาททำให้ไม่ต้องกังวลในเรื่องความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนแต่อย่างใด”