“อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก” เร่งบุกตลาดรับรัฐบาลชุดใหม่ปลุกเศรษฐกิจฟื้น คาดความต้องการวัสดุอิฐมวลเบาเติบโตต่อเนื่องมากกว่า 10% หลังจากอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่แห่ผุดโครงการ พร้อมอัดฉีดเพิ่มกำลังผลิตโรงงานทั้ง 2 แห่ง หวังรุกขยายตลาดลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดเพิ่ม และชูจุดขายใหม่คือ ผนังเสริมเหล็ก “INSEE Superblock Panel G4” แข็งแกร่ง ปลอดภัยตามมาตรฐานอุตสาหกรรม รวมทั้งยกระดับกระบวนการผลิต คว้ารางวัล “ฉลากเขียว” เจ้าแรก
ดร.จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก จำกัด เครือบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ “ปูนอินทรี” เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมแผนการใหญ่ เพื่อรุกตลาดกลุ่มธุรกิจวัสดุอิฐมวลเบาตามเป้าหมาย “ผลิตภัณฑ์ดาวเด่น” ของปูนอินทรีที่ต้องการขยายรายได้ในกลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และรองรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่พลิกฟื้นกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง หลังจากประเทศไทยมีรัฐบาลชุดใหม่อย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะการเร่งเปิดโครงการของกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จำนวนหลายสิบโครงการ ไม่ว่าจะเป็นค่ายแสนสิริ ศุภาลัย เอพี เซ็นทรัลพัฒนา รวมทั้งผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่อย่างบริษัท ฤทธา จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้วัสดุอิฐมวลเบาแทนอิฐมอญทั้งหมด และเป็นลูกค้ากลุ่มหลักของบริษัทฯ โดยคาดการณ์ภาพรวมตลาดวัสดุอิฐมวลเบาจะขยายตัวต่อเนื่องมากกว่า 10% อย่างน้อยอีก 3-5 ปี
ปัจจุบัน ปูนอินทรีเร่งขยายไลน์ธุรกิจวัสดุอิฐมวลเบาภายใต้ชื่อ “อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก” หลังตั้งบริษัท อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก จำกัด ด้วยการซื้อสินทรัพย์การผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบา (Autoclaved Aerated Concrete) เกรด 4 มาจากบริษัท ซุปเปอร์บล๊อก จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2556 ด้วยทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท โดยมีโรงงานตั้งอยู่ที อ.ค่ายบางระ จัน จ.สิงห์บุรี เนื้อที่รวม 58 ไร่ สำหรับโรงงานอินทรี ซุปเปอร์บล๊อก อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี ภายในพื้นที่ประกอบด้วย โรงผลิตคอนกรีตมวลเบา จำนวน 2 สายการผลิต พื้นที่สำหรับเก็บกองทราย โรงบดแร่ โรงบดทราย และโรงซ่อมบำรุง กำลังการผลิตรวม 4.8 ล้านตารางเมตรต่อปี และอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักรพร้อมปรับปรุงสายการผลิต เพื่อเพิ่มกำลังผลิตเป็นมากกว่า 6 ล้านตารางเมตรต่อปี ภายในปี 2558
นอกจากนี้ มีแหล่งวัตถุดิบสำคัญ ได้แก่ แหล่งทรายในบริเวณใกล้เคียงกับโรงงาน ซึ่งเป็นทรายคุณภาพ และมีจำนวนมากพอต่อการผลิตมากกว่า 10 ปี เมื่อปลายปี 2556 บริษัทฯ ยังขยายโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ใน อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นการซื้อสินทรัพย์การผลิตจาก บริษัท พรอสเพอริตี้ คอนกรีต จำกัด กำลังการผลิต 1.6 ล้านตารางเมตรต่อปี
ดร.จิรัฏฐ์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบาเกรด 4 ได้แก่ บล็อกก่อผนัง แผ่นผนังสำเร็จรูป และเสาเอ็นทับหลังสำเร็จรูป ภายใต้เครื่องหมายการค้า “อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก” โดยใช้เครื่องจักรเทคโนโลยีของ WEHRHAHN จากประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ ยังจำหน่ายวัสดุก่อฉาบของอินทรีมอร์ต้าร์แมกซ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบาของบริษัทฯ ผ่านการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.1505-2541) เป็นรายแรกในประเทศไทย และได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001: 2000 เป็นแห่งแรกของผู้ผลิตคอนกรีตมวลเบาอบไอน้ำในประเทศไทยด้วย
กลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ที่รับงานจากดีเวลลอปเปอร์ใหญ่ๆ รู้จัก และใช้อิฐมวลเบา แต่ผู้รับเหมารายย่อยยังไม่ค่อยใช้มากนัก แต่เราจะขยายตลาดมากขึ้น โดยแบ่งกลุ่มลูกค้าในกรุงเทพฯ เน้นกลุ่มคอนโดมิเนียม ส่วนในต่างจังหวัดเน้นกลุ่มโครงการหมู่บ้านต่างๆ
ด้าน ดร.โยธิน อึ่งกูล ผู้อำนวยการด้านเทคนิค - อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก กล่าวว่า จุดเด่น และความแตกต่างระหว่างอิฐมวลเบา กับอิฐมอญ หรืออิฐแดง คือ การทำงานที่รวดเร็วกว่า ใช้แรงงานน้อยกว่า โดยพื้นที่ 1 ตารางเมตร ใช้อิฐมวลเบาเพียง 8 ก้อน แต่ใช้อิฐมอญถึง 130 ก้อน ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างโดยรวมในปัจจุบันต่ำกว่าใช้อิฐมอญ อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก เป็นวัสดุที่เบาทำให้ง่ายต่อการติดตั้ง ชิ้นงานมีความเรียบสวย มีคุณสมบัติในการต้านทานไฟที่อุณหภูมิสูงยาวนานถึง 4 ชั่วโมง มีค่าการต้านทานความร้อนดีกว่าคอนกรีตบล็อก 4 เท่าและอิฐมอญ 6-8 เท่า ฟองอากาศจำนวนมากในเนื้อของอินทรี ซุปเปอร์บล๊อก ทำให้สามารถต้านทานความร้อนจากภายนอกสู่ภายในอาคารได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้สูงถึง 15-30% เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านที่สร้างด้วยอิฐมอญ และสามารถป้องกันเสียงได้ดีกว่าอิฐมอญประมาณ 10% คือที่ขนาดความหนา 10 เซนติเมตร มีอัตราการกันเสียงได้ถึง 42 เดซิเบล ในขณะที่อิฐมอญก่อที่ความหนาเท่าๆ กันสามารถกันเสียงได้ 35-38 เดซิเบล มีค่าการดูดซับเสียงที่ดี จึงเหมาะสำหรับห้องประชุม หรือโรงภาพยนตร์
นอกจากอินทรี ซุปเปอร์บล๊อก จะทำอิฐมวลเบาแล้ว ยังผลิตผนังอินทรี ซุปเปอร์บล๊อก หรือ INSEE Superblock Panel G4 ซึ่งใช้เป็นผนังบ้านอยู่อาศัย หรืออาคารต่างๆ ได้ โดยวัตถุดิบต่างๆ เหมือนอิฐมวลเบา แต่เสริมเหล็กเข้าไปด้วย เพื่อให้โครงสร้างมั่นคง คือ ผลิตจากปูนซีเมนต์ ทราย ปูนขาว สารกระจายฟองอากาศ และเสริมแรงด้วยเหล็กข้ออ้อยขนาด 4-6 มิลลิเมตร ผ่านการอบไอน้ำแรงดันสูงนานกว่า 14 ชั่วโมง ความแข็งแกร่งจากการเกิดผลึกคริสตัลของแคลเซียมซิลิเกตนับล้านๆ ชิ้นร่วมกับเหล็กเสริม ทำให้แผ่นพาแนลแข็งแรงทนทานมากขึ้นและปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย แผ่นผนังสำเร็จ (Wall Panel) จะมีการตัดขนาดตามความต้องการของผู้ใช้งานตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต จึงไม่มีเศษเหลือทิ้งที่หน่วยงานก่อสร้าง และช่วยให้การก่อสร้างสะดวกรวดเร็ว รับแรงได้มากกว่าตั้งแต่ 50-100 กิโลกรัมต่อตารางเมตร และเป็นวัสดุที่มีอายุการใช้งานเทียบเท่าคอนกรีต เพราะมีส่วนประกอบของซีเมนต์ และทรายเป็นหลัก ในขณะที่อิฐมอญมีดินเป็นองค์ประกอบหลัก
ดร.โยธิน กล่าวอีกว่า “ด้วยความตระหนัก และใส่ใจต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก ได้มุ่งมั่นพัฒนาและวิจัยขั้นตอนในการผลิต เพื่อให้เกิดกระบวนการ Reuse และ Recycle จนปัจจุบันบริษัทฯ มีวัตถุดิบที่เป็นการ Reuse และ Recycle เกินกว่า 40% ไม่มีการปล่อยสารพิษออกมา และปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น ก็เป็นการสร้างผลึกแคลเซียมซิลิเกต ซึ่งเป็นแร่ธรรมชาติไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุด ได้รับรางวัลฉลากเขียว (Green Label) ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อผนังเป็นเจ้าแรก และเจ้าเดียวของผู้ผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบาในประเทศไทยจากมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ริเริ่มกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility หรือ “CSR”) ภายใต้ชื่อ “กิจกรรมเพื่อชุมชนรอบรั้วโรงงานอินทรี ซุปเปอร์บล๊อก” เพื่อเป็นต้นแบบการอยู่ร่วมกันระหว่างธุรกิจอุตสาหกรรมกับชุมชน และสังคมอย่างยั่งยืน เช่นที่ผ่านมา มีการมอบเงินสนับสนุนและอิฐมวลเบา ในการบูรณะวัดวิหารแดง ที่รกร้างกว่า 200 ปี ขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชุมชุนรอบรั้วโรงงานอินทรี ซุปเปอร์บล๊อก อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี รวมถึงการมอบอุปกรณ์การเรียน และอุปกรณ์ซ่อมแซมโรงเรียนวัดบ้านกลับ อ.ค่าย บางระจัน โดยร่วมกับครู และนักเรียนทาสีอาคารเรียน ห้องน้ำ และปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบโรงเรียนด้วย
