ผู้บริหาร “สศค.” คาดเศรษฐกิจปีหน้าโตได้ 4-5% เนื่องจากฐานในปีนี้ต่ำ พร้อมมองภาคส่งออกยังชะลอตัว ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ส่วนค่าเงินบาทในปีหน้ามีแนวโน้มอ่อนค่าลง เป็นไปตามการคาดการณ์ว่า “เฟด” จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้เงินทุนที่เคยไหลเข้ามาลงทุนในไทยทยอยไหลออกไป
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) บรรยายพิเศษ “ทิศทางเศรษฐกิจไทย 2558” ในงานสัมมนา SME ประจำปี 2557 “ธุรกิจไทยสู่ความเป็นเลิศ” โดยระบุว่า ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 58 ขยายตัวเต็มศักยภาพในระดับ 4-5% ได้ คือ การใช้จ่ายของภาครัฐ ทึ่จะมีการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อลงทุนในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งหากเกิดการลงทุนได้จริงตามแผนงานก็จะช่วยให้ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาคเอกชนกล้ามีการลงทุน และใช้จ่ายทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
“เศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังมีโอกาสเติบโตได้มากกว่าปีนี้อยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมา มีการเติบโตไม่เต็มศักยภาพ ทำให้ฐานการเติบโตยังต่ำ แต่ปีหน้าเศรษฐกิจโต 4-5% ก็เป็นไปได้ ปัจจัยที่สำคัญเป็นเรื่องการใช้จ่ายของภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ถ้าเกิดขึ้นจริงแล้วก็จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคเอกชน ถ้าภาครัฐทำจริงๆ ก็จะไปช่วยให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้น การใช้จ่ายก็จะกลับมามากขึ้น ทำให้มีเงินออกมาหมุนเวียนในระบบ และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย”
ขณะที่ประเมินว่าภาคการส่งออกในปีหน้ายังน่าจะชะลอตัวอยู่ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะจีนที่เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยนั้นมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และอัตราหนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูง ทำให้การส่งออกไปยังจีนอาจจะยังเติบโตได้ไม่ดีนัก ประกอบกับปีหน้ากลุ่มสหภาพยุโรปจะยกเลิกการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ทำให้สินค้าที่ส่งเข้าไปขายจะมีอุปสรรคเพิ่มขึ้น และยังไม่มีสัญญาณเชิงบวกว่าจะเศรษฐกิจยุโรปจะเติบโตได้ดี
อย่างไรก็ตาม ตลาดที่น่าสนใจในการสนับสนุนการส่งออกสินค้าไทย คือ สหรัฐฯ เนื่องจากเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากผ่านพ้นภาวะวิกฤตไปแล้ว และรัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งประเทศในกลุ่ม CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม ที่เริ่มเห็นศักยภาพการเติบโตชัดเจนขึ้น และกำลังซื้อขยายตัวขึ้นมาก เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกของไทยไปยังกลุ่ม CLMV ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้เติบโตถึง 8%
ส่วนในภาคการเงินนั้น คาดว่าสินเชื่อรวมในประเทศปีนี้จะขยายตัวลดลงมาอยู่ที่ 6-7% จากปี 56 ขยายตัวถึง 20% เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น หลังจากภาพรวมเศรษฐกิจไม่ดีนัก และหนี้ภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูง แต่ในระยะยาวคาดว่าหนี้ภาคครัวเรือนจะค่อยๆ ลดลง และไม่น่ากังวลมากนัก หากเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาคครัวเรือน
นายเอกนิติ กล่าวอีกว่า ค่าเงินบาทในปีหน้ามีแนวโน้มอ่อนค่าลง เป็นไปตามการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้เงินทุนที่เคยไหลเข้ามาลงทุนในไทยทยอยไหลออกไป ปัจจุบันค่าเงินบาทยังมีความผันผวนจากความไม่ชัดเจนของกระแสข่าวทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ทั้งนี้ หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริง จะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม ผู้ที่มีสินเชื่อระยะยาวต้องเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว แต่ในระยะสั้นยังคาดว่า ธปท.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2% อีกระยะหนึ่งเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศจนกว่าจะเห็นภาพการขยายตัวอย่างมีศักยภาพชัดเจน และต่อเนื่อง