ราคาทองคำโลกหลังหลุด $1,260 เหรียญมาบอกได้ว่า ราคายังอยู่ในแนวโน้มซึมลงต่อไปด้วยเหตุผลดอลลาร์สหรัฐระยะสั้นจะยังคงแข็งค่าจากมาตรการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป และแนวโน้มที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน ทำให้จุดซื้อทองคำคืนหลังจากขายออกไปแล้วจะมีแนวรับทยอยสะสมอยู่บริเวณ $1,240 $1,200 และ $1,180 เหรียญตามลำดับ ในเมื่อทองคำยังเป็นขาลงแบบซึมๆ อยู่ อย่ากระนั้นเลย วันนี้ขอหันไปมองตลาดหุ้นไทยแทนชั่วคราวดีกว่า
ประเด็นหลักจากตลาดหุ้นไทยได้ปรับขึ้นมาจากระดับ 1,400 จุด เมื่อช่วงรัฐประหารมาปัจจุบันเกือบถึง 1,600 จุดแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น การคัดสรรหุ้น และมองยาวในไปอนาคตว่า หุ้นตัวไหน กลุ่มไหน ที่เป็นหุ้นที่มีอนาคตรุ่ง อนาคตมั่นคง เผื่อตลาดหุ้นเริ่มมีการปรับฐาน หุ้นเหล่านี้น่าจะได้รับผลกระทบด้านลบ หรือเจอแรงขายน้อยหน่อย
ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจในอนาคต
1.การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วยการพัฒนาโครงสร้างคมนาคม ซึ่งการสร้างรถไฟทางคู่จะเป็นประเด็นหลักสำหรับการพัฒนาด้านคมนาคม โดยจะแบ่งการสร้างรถไฟเป็น 3 ระยะ ที่จะเชื่อมต่อกันทั้งทิศเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออก และใต้ และเชื่อมโยงจากประเทศเพื่อนบ้านรอบข้างเราทั้งหมด นอกจากจะช่วยให้การขนส่งสินค้าใช้ระยะเวลาสั้นลง เพราะไม่ต้องรอหลีกขบวนกัน แถมรองรับการจะเป็นสมาชิกของประชาคมอาเซียน หรือ AEC ด้วย นอกจากนี้ ก็จะมีการขยายรถไฟฟ้า 10 สายเชื่อมโยงทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการทำถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ขยายสนามบินสุวรรณภูมิ ขยายถนนเชื่อมต่อระหว่างจังหวัด และระหว่างตำบล ฯลฯ การลงทุนของภาครัฐเหล่านี้เพิ่มศักยภาพด้านการขนส่ง และจะเป็นตัวกระตุ้น GDP ให้ฟื้นได้ค่อนข้างมาก ซึ่งหากทำได้ตามที่ประกาศไว้ กลุ่มหลักทรัพย์ที่อยู่ในตลาดที่น่าจะได้ประโยชน์ก็จะเป็นกลุ่มรับเหมาขนาดใหญ่ ธนาคารที่มักจะปล่อยกู้ให้แก่โครงการรัฐ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ก็น่าจะได้รับประโยชน์จากการกระจายตัวของรายได้ และความเจริญไปยังหัวเมืองต่างๆ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ชอบมีโครงการบ้านแนวราบน่าจะได้ประโยชน์มากกว่ากลุ่มที่มีโครงการประเภทคอนโดฯ กลุ่มท่องเที่ยวก็จะดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากการเดินทางที่สะดวกขึ้น และต้นทุนที่ไม่สูง และก็กลุ่มค้าปลีก และวัสดุก่อนสร้างก็จะได้รับประโยชน์เช่นกัน เป็นต้น
2.การเข้าร่วมเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียน หรือ AEC ซึ่งประเด็นนี้หากดูจากแผนที่ภูมิศาสตร์ทุกคนก็จะเห็นว่าประเทศไทยเราได้เปรียบเรื่องของที่ตั้งที่ดูเหมือนจะเป็นจุดศูนย์กลางของกลุ่มประเทศสมาชิก AEC ซึ่งแน่นอนว่า การขนส่งภาคพื้นดินก็ต้องผ่านประเทศเราเป็นหลัก สอดคล้องต่อโครงการรถไฟทางคู่ด้วย ก็จะช่วยให้เราเป็น HUB ของอาเซียน ซึ่งการเป็นจุดศูนย์กลางของ AEC ประกอบกับจุดเด่นที่ประเทศไทยเป็นเป้าหมายแรกๆ ของนักท่องเที่ยว และเป็นประเทศที่มีบุคลากรทางแพทย์ที่มีฝีมือ และค่ารักษาพยาบาลไม่ได้แพงกว่าเพื่อนบ้านที่พัฒนาแล้วนั้น ก็จะทำให้ประเทศไทยน่าจะได้ประโยชน์ในเรื่องการขนส่ง เป็นจุดกระจายสินค้า เป็นแหล่งท่องเที่ยว หรือพักแวะ กลุ่มหลักทรัพย์ที่น่าจะได้ประโยชน์ก็จะเป็น กลุ่มท่องเที่ยวพวกโรงแรม กลุ่มคมนาคม อย่างสนามบิน หรือสายการบินต้นทุนต่ำ โรงพยาบาล และก็พวกที่ทำคลังสินค้า
3.โครงสร้างประชากรไทย และในอาเซียนและรายได้ ซึ่งหากดูอายุของประชากรในไทยก็จะคล้ายๆ กับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนคนกลุ่มใหญ่จะมีอายุอยู่ในช่วง 30-50 ปี ประกอบกับสถิติที่บอกว่าคนอายุในช่วง 45 ปีขึ้นไปจะมีความมั่งคั่งมากกว่าวัยอื่นๆ โดยเฉลี่ย ทำให้ในอนาคตหลังจากนี้ 5 ปีขึ้นไป จะมีประชากรที่มีความมั่งคั่งจำนวนมากขึ้น และจะอยู่ในช่วงวัยใกล้เกษียณ หรือเริ่มเกษียณ จะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ปัจจุบันเริ่มหันมาสนใจสุขภาพ และเริ่มท่องเที่ยวหลังเกษียณ รวมถึงจะเริ่มที่จะนึกถึงเรื่องการออมเพื่อชีวิตหลังเกษียณด้วย กลุ่มหลักทรัพย์ที่น่าจะได้ประโยชน์จากโครงสร้างประชากรไทย และอาเซียน รวมถึงค่าเฉลี่ยรายได้ตามไว้ ก็น่าจะเป็นกลุ่มท่องเที่ยว ประกันชีวิตประกันสุขภาพ กลุ่มโรงพยาบาล ธุรกิจเกี่ยวกับดูแลสุขภาพและเสริมสวย กลุ่มธนาคารที่มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินรองรับคนวัยเกษียณ
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มพลังงานราคาถูกอย่างถ่านหินที่น่าจะผ่านช่วงแย่สุดในรอบหลายปีไปแล้ว โดยปัจจุบันกระแสพลังงานทางเลือก อย่างพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ จะแรงจนทำให้ราคาของหลักทรัพย์กลุ่มนี้มาแรง แต่ต้องยอมรับว่า กระแสไฟฟ้าที่ได้จากพลังงานทางเลือกเหล่านี้มีต้นทุนที่สูง น่าจะทำให้ในอนาคตหลายคนอาจจะเริ่มหันกลับมายังการใช้พลังงานที่ราคาต้นทุนต่ำกว่าอย่างถ่านหินอีกครั้ง ส่วนกระแสพลังงานทางเลือกก็จะเริ่มลดลง ยกเว้นบางตัวที่เป็นบริษัทที่ทั้งผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือกจำหน่ายเอง และก็เป็นผู้รับงานสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพวกนี้ด้วยเท่านั้นที่จะดูมีอนาคตที่ดีกว่าตัวอื่นๆ
สัญญา หาญพัฒนกิจพาณิช
ผู้อำนวยการทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก