“ธปท.” เตรียมหารือ “กนง.” เพื่อวางกรอบนโยบายการเงินปีหน้า ยืนยัน “อีซีบี” ปรับลด ดบ. ไม่น่าห่วง ชี้ถ้าธนาคารกลางมีการสื่อสารที่ชัดเจน ไม่เซอร์ไพรส์ตลาด เชื่อว่าตลาดก็คงค่อยๆ ปรับตัวได้ ในแง่ของเงินทุนเคลื่อนย้ายก็น่าจะมีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเข้ามามากๆ เราก็มีเครื่องไม้เครื่องมือที่คอยดูแล
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในเร็วๆ นี้ ธปท. จะหารือร่วมกับคณะกรรมการนโยบายการเงิน เพื่อกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อในปีหน้า โดยคาดว่าจะมีการพูดคุยกันในการประชุมครั้งนี้ (17 ก.ย.) หรือไม่ก็ครั้งหน้า (5 พ.ย.)
ส่วนคำถามที่ว่า การหารือในครั้งนี้จะมีการพูดคุยถึงการปรับไปใช้กรอบเงินเฟ้อทั่วไปแทนเงินเฟ้อพื้นฐานหรือไม่ นายประสาร กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องหารือกับทางคณะกรรมการก่อน
“คงต้องหารือกันในเร็วๆ นี้แล้ว ดีไม่ดีอาจจะเป็นการประชุมครั้งนี้ (17 ก.ย.) เพราะตอนนี้ก็เดือนกันยายนแล้ว ซึ่งกรอบเป้าหมายเราต้องทำให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี”
นายจิรเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา โฆษก ธปท. กล่าวถึงกรณีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) โดยมองการที่อีซีบีลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 0.05% เป็นระดับต่ำสุดในประวัติการณ์นั้น เพราะอีซีบีต้องการดูแลไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด หลังจากพบว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ยังทยอยลดลงต่อเนื่อง
“ตอนที่อีซีบีลดดอกเบี้ยลงเมื่อช่วงเดือน มิ.ย.นั้น เพราะต้องการไม่ให้เงินเฟ้อลดต่ำลงจนเข้าสู่ภาวะเงินฝืด โดยตอนนั้นเงินเฟ้อเขาอยู่ที่ 0.5% แต่หลังจากที่ดอกเบี้ยลดลง เงินเฟ้อของเขายังคงลดลงต่อเนื่อง โดยมาอยู่ที่ 0.4% ในเดือน ก.ค. และ 0.3% ในเดือน ส.ค. จึงเป็นเหตุให้เขาตัดสินใจลดดอกเบี้ยลงอีกครั้ง”
โดยเมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา อีซีบี ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับต่ำสุดที่ 0.05% และปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากลงอีกเป็นติดลบ 0.2% เพื่อต้องการแก้ปัญหาภาวะเงินฝืด
ทั้งนี้ การที่อีซีบีลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง สะท้อนภาพว่าเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่เข้มแข็งนัก แม้ว่าการบริโภคโดยรวมเริ่มฟื้นตัวได้ระดับหนึ่ง แต่ภาคการส่งออกของกลุ่มอียูยังไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่อีซีบีปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง ก็ทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง ซึ่งส่งผลดีต่อภาพการส่งออกโดยรวมด้วย โดยกลุ่มอียูมีสัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกในกลุ่มเดียวกันอยู่ที่ 75%
“ดอกเบี้ยที่ลดลงสะท้อนว่า เศรษฐกิจอาจจะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เข้มแข็งนัก ยังต้องติดตามดูภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด แต่การที่อีซีบีลดดอกเบี้ยลง ก็เหมือนกับการซื้อประกันไม่ให้การคาดการณ์เงินเฟ้อของนักลงทุนลดลงไปมากกว่านี้”
กรณีการลดดอกเบี้ยของอีซีบีเอง โดยภาพรวม ธปท.ไม่ได้มีความเป็นห่วงมากนัก และเชื่อว่าแม้กลุ่มอียูจะมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำลง แต่คงไม่เกิดประเด็นเรื่องยูโรแครรีเทรด หรือการนำเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสกุลเงินยูโรมาลงทุนในประเทศไทย หรือประเทศอื่นที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่พบสัญญาณดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ ธปท. เป็นห่วง และติดตามดูสถานการณ์อยู่ในขณะนี้ คือ การฟื้นตัวของประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งตรงนี้อาจทำให้เกิดสถานการณ์การเคลื่อนย้ายของเงินทุนได้ แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลกระทบที่มีต่อระบบอัตราแลกเปลี่ยนไทยคงไม่ได้มากนัก และทาง ธปท. เองก็มีเครื่องมือพร้อมต่อสถานการณ์เหล่านี้อยู่แล้ว
สำหรับเครื่องมือที่ว่านี้ ได้แก่ 1.การที่ประเทศไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว โดยปล่อยให้มีการเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด ซึ่ง ธปท.จะเข้ามาดูแลต่อเมื่อการเคลื่อนไหวมีความผันผวนที่มากเกินไปจนอาจกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวม 2.ไทยเปิดให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนได้อย่างเสรี และ 3.ที่ผ่านมา ธปท. ได้ติดตามดูภาวะตลาดการเงินอย่างใกล้ชิดมาตลอด
“ถ้าธนาคารกลางมีการสื่อสารที่ชัดเจน ไม่เซอร์ไพรส์ตลาด เชื่อว่าตลาดก็คงค่อยๆ ปรับตัวได้ ในแง่ของเงินทุนเคลื่อนย้ายก็น่าจะมีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเข้ามามากๆ เราก็มีเครื่องไม้เครื่องมือที่คอยดูแล”
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่มีต่อภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจไทยนั้น ธปท. ให้น้ำหนักภายในประเทศมากกว่า ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ว่าการ ธปท. ได้พยายามเน้นใน 2 เรื่อง คือ การทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ตามศักยภาพ และการยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทย
นายจิรเทพ กล่าวว่า การทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามศักยภาพนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐที่ต้องเร่งการลงทุน เพื่อดึงดูดให้เอกชนลงทุนตาม และทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจกล้าที่จะจับจ่ายใช้สอย ส่วนการยกระดับศักยภาพของไทยนั้น ต้องอาศัยการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาด้านการศึกษา เพื่อยกขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น