ธปท. หนุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานประเทศ เพื่อดันเศรษฐกิจโตเต็มศักยภาพ 4.5-5.0% ยอมรับที่ผ่านมา ไทยขาดการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ส่วนการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 31.80 -31.85 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มาจากการที่เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้า เพราะมีความเชื่อมั่นต่อไทยสูงขึ้น และเงินดอลลาร์สหรัฐมีทิศทางที่อ่อนค่าลง
นายจิรเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งอนุมัติงบประมาณพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานปี 2558 วงเงิน 99,000 ล้านบาท จะเป็นผลดีต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยคงจะต้องติดตามเรื่องระยะเวลาการลงทุนว่า จะเกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาใด เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยขาดโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
ทั้งนี้ หากภาครัฐเร่งให้มีการก่อสร้างก็จะทำให้ภาคเอกชนลงทุนตาม ซึ่งหากประเทศต้องการให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยหรือจีดีพีโตเต็มศักยภาพคือโตร้อยละ 4.5-5.0 การลงทุนจะต้องมีสัดส่วน ร้อยละ 25-26 ของจีดีพี จากปัจจุบันที่การลงทุนมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 22 ของจีดีพี โดยแบ่งเป็นการลงทุนภาคเอกชนร้อยละ 17 และการลงทุนภาครัฐร้อยละ 5 ซึ่งการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือนกันยายน 2557 นี้ จะนำปัจจัยดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมด้วย
นายจิรเทพ กล่าวว่า ไม่ห่วงเรื่องเงินทุนไหลออกจากไทย เพราะภาพรวมเศรษฐกิจไม่มีปัญหา เสถียรภาพการเงินอยู่ในเกณฑ์ดี ดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลการชำระเงินก็สมดุล นอกจากนี้ ไทยได้ปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและศักยภาพทางการเมืองที่มีความมั่นคงมากขึ้น ดังนั้น แม้ว่ารายชื่อโผ ครม.ชุดใหม่อาจจะมีรายชื่อทหาร ไม่มีผลกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุน
ส่วนการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 31.80 -31.85 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มาจากการที่เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้า เพราะมีความเชื่อมั่นต่อไทยสูงขึ้น จากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน บวกกับเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อน อย่างไรก็ตาม เงินบาทเคลื่อนไหวได้ 2 ทิศทาง ตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมา และตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ส่วนเรื่องที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทยอยลดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง ตลาดการเงินและนักลงทุนรับรู้อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่านักลงทุนจะไม่มีการตื่นตระหนก นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามคือ เรื่องการระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา ที่ทั่วโลกกำลังวิตกกังวล โดยเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะกระทบถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยได้