AP แจงมติบอร์ดอนุมัติร่วมทุน MJRI บริษัทลูก Mitsubishi Estate สัดส่วน 51: 49 ผุดคอนโดฯหรูมูลค่ากว่า 3,300 ล้านบาท พร้อมแจงผลประกอบการ 6 เดือน รายได้รวม 9,467 ล้านบาท กำไร 971.42 ล้านบาท
นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ เลขานุการ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP เปิดเผยว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 7/2557 อนุมัติการเข้าร่วมทุน (Joint Venture) กับ Mitsubishi Estate Group เพิ่มเติม โดยบริษัทจะเข้าทำสัญญาร่วมทุน (Joint Venture Agreement) กับ MJR Investment PTE LTD (MJRI) ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นบริษัทก่อตั้งใหม่โดย Mitsubishi Jisho Residence Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Mitsubishi Estate Co., Ltd.
การลงนามในสัญญาร่วมทุนดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557 และโครงการที่จะพัฒนาร่วมกันมีมูลค่าประมาณ 3,300 ล้านบาท โดยจะร่วมกันพัฒนาผ่านบริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนซ์ จำกัด อันเป็นบริษัทย่อยซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่เดิมร้อยละ 99.99 ก่อนการเข้าร่วมทุนดังกล่าว ซึ่งหลังจากการลงนามนี้ บริษัทจะถือหุ้นในอัตราส่วนร้อยละ 51 และ MJRI จะถือหุ้นในอัตราส่วนร้อยละ 49
นอกจากนี้ AP ยังได้ชี้แจงผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดมิถุนายน 2557 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสะสมรอบ 6 เดือน จำนวน 971.426 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 674.838 ล้านบาท และมีรายได้รวมรอบ 6 เดือน จำนวน 9,467 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 7,161 ล้านบาท
สำหรับไตรมาส 2 ปี 2557 ว่า มีกำไรสุทธิ 711.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 57.4 จาก 452.2 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุหลักมาจาก 1. รายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 4,286 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2556 มาเป็น 5,918 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.1 ซึ่งรายได้ในไตรมาส 2 ปี 2557 มาจากโครงการคอนโดมิเนียมร้อยละ 53 และโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ร้อยละ 47
2. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ลดลงจากร้อยละ 19.6 ในไตรมาส 2 ปี 2556 มาเป็นร้อยละ 17.1 หรือ 1,009.1 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2557 เนื่องจากมีการควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและค่าใช้จ่ายในการบริหาร แม้ว่าจะมีการเปิดโครงการแนวราบใหม่จำนวน 5 โครงการ ในไตรมาส 2 ปี 2557 ก็ตาม
จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 711.7 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2557 หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ร้อยละ 12.0 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.6 จากงวดเดียวกันของปีก่อน
