เอพีแจงไตรมาสแรกปี 59 รายได้รวม 4,172 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสแรกปีก่อนหน้า 20.1% เหตุไตรมาสแรกเปิดขายโครงการใหม่น้อย โชว์กําไรสุทธิ 455 ล้านบาท คิดเป็น 10.9% ของรายได้ปรับตัวดีขึ้นจาก 10.7% ของไตรมาส 1/58
นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ เลขานุการ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP กล่าวว่า ผลการดําเนินงานสําหรับไตรมาส 1 ปี 2559 บริษัท มีรายได้รวม 4,172 ล้านบาท ลดลงจาก 5,220 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือลดลง 20.1% อย่างไรก็ตาม จากการควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ประสิทธิภาพ ทําให้ในไตรมาสนี้บริษัทมีกําไรสุทธิ 455 ล้านบาท คิดเป็น 10.9% ของรายได้ ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจาก 10.7% ในไตรมาส 1 ปี 2558
ทั้งนี้ การลดลงของรายได้ในไตรมาสแรกเป็นผลมาจากจำนวนการเปิดตัวของโครงการในไตรมาสนี้ลดลงจากปีก่อน อย่างไรก็ดี แม้ว่าจำนวนโครงการใหม่ที่เปิดขาย และส่งมอบในไตรมาสนี้จะลดลงแต่เมื่อแยกประเภทของสินค้าแนววราบยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโต 8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และรายได้จากแนวราบคิดเป็น 70% ของรายได้ทั้งหมดในไตรมาสนี้
ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม หรือโครงการแนวสูงนั้น AP สามารถส่งมอบโครงการ Asprie รัตนาธิเบศร์ 2 ในเดือนมีนาคม 2559 โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 มีการส่งมอบไปแล้ว 7.2% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งบริษัทได้ทําการส่งมอบ 2 โครงการ ได้แก่ Rhythm สาทร-นราธิวาส ในเดือนมกราคม 2558 และ Aspire Udonthani ในเดือนมีนาคม 2558 โดยได้มีการส่งมอบ 68.7% และ 17.7% ตามลําดับ รวมเป็นมูลค่า 1,210 ล้านบาท ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทําให้โครงการแนวสูงมีอัตราการเติบโตติดลบ 55% เมื่อเทียบกับปีก่อน สําหรับในปีนี้แผนการส่งมอบโครงการคอนโดมีเนี่ยมใหม่จะอยู่ในช่วงไตรมาส 4 ของปี
อย่างไรก็ตาม อัตรากําไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจาก 33.9% ในไตรมาส 1 ปี 2558 มาเป็น 34.1% แม้ว่า จะมีการทําโปรโมชันในบางโครงการที่มัอัตราการขายออกช้า กําไรขั้นต้นของโครงการทั้ง แนวราบ และแนวสูงยังอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ โดยอัตรากําไรแนววราบเท่ากับ 30.9% และโครงการคอนโดมิเนียมเท่ากับ 35.4%
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารต่อรายได้ลดลงจาก 993 ล้านบาท มาเป็น 795 ล้านบาท หรือลดลง 19.9% ซึ่งเป้นผลมาจากค่าใช้จ่ายด้าน marketing ที่ลดลงเพราะในไตรมาสแรกนี้โครงการเปิดตัวใหม่มีจํานวนน้อย และจากการควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยค่าใช้จ่ายในการบริหารมีการลดดลง 23.6% เมื่อเทียบกับในงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ทำให้อัตรากําไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ
