เอพี ปรับโครงสร้างบริษัทร่วมทุนกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท ตั้งบริษัท “พรีเมี่ยม เรสซิเดนซ์” ลุยตลาดคอนโดฯ ระบุเพิ่มความคล่องตัวในการบริหาร พร้อมเดินหน้าลงทุนเปิด 13 โครงการ มูลค่า 2.53 หมื่นล้านบาท
นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ รองกรรมการผู้อำนวย สายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2559 เป็นต้นไป การพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียมอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนซ์ จำกัด ทุกโครงการ ซึ่งบริษัทดังกล่าวจะเป็นการ่วมทุนระหว่าง บริษัท มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ จำกัด (MJR) ในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป กับ เอพี ในสัดส่วน 49:51 เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหาร และดำเนินงาน จากเดิมที่ผ่านมา โครงการร่วมทุนจะเป็นการร่วมทุนระหว่าง MJR กับบริษัทในเครือของเอพี ซึ่งจะตั้งบริษัทใหม่ทุกครั้งที่มีการพัฒนาโครงการ
สำหรับการร่วมทุนกับกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป นั้น เริ่มตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน พัฒนาโครงการคอนโดฯ ร่วมกันมาแล้ว 8 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 33,000 ล้านบาท และเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กลุ่มมิตซูบิชิฯ ได้ส่งทีมบริหารจากญี่ปุ่นเข้ามาร่วมบริหารงานด้านดีไซน์รูปแบบโครงการ การก่อสร้าง รวมถึงการขาย ร่วมกับ AP เนื่องจากญี่ปุ่นถือว่ามีโนว์ฮาวในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ดีมาก อย่างไรก็ตาม การจะเลือกใช้เทคโนโลยี การออกแบบ หรืออื่นๆ เอพีจะพิจารณาจากความเหมาะสมเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยเป็นหลัก
ส่วนแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีนี้ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้เดิม คือ พัฒนาโครงการแนวราบ 15 โครงการ และแนวสูง 5 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 32,535 ล้านบาท ในครึ่งปีแรกเปิดขายไปแล้ว 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,300 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 5 โครงการ มูลค่า 3,690 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่าโครงการ 3,640 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังจะเปิดตัวอีก 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 25,300 ล้านบาท โดยเป็นแนวราบ 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 10,700 ล้านบาท และเป็นโครงการคอนโดฯ ร่วมทุน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 14,600 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ ริทึ่ม (RHYTHM) เอกมัย, ไลฟ์ (LIFE) วิทยุ ส่วนอีก 1 โครงการอยู่ในระหว่างการพิจารณาคัดเลือก
ทั้งนี้ 13 โครงการที่จะเปิดขายในช่วงครึ่งปีหลังนั้น บริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาไว้แล้ว และอาจเปิดโครงการคอนโดฯ เพิ่มอีก 1-2 โครงการ เพราะมีที่ดินเข้ามาให้พิจารณาซื้อเพิ่มอีก ส่วนงบซื้อที่ดินในปีนี้วางไว้ที่ 8,000 ล้านบาท ปัจจุบันใช้ไปแล้ว 3,000 ล้านบาท โดยจะเน้นซื้อที่ดินในทำเลแนวรถไฟฟ้า
นายภูมิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทเชื่อว่ายังมีความต้องการซื้อค่อนข้างมาก โดยเฉพาะคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะนำคอนโดฯ ไปโรดโชว์ยังต่างประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนยอดขายของลูกค้าต่างชาติ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บริษัทได้นำโครงการคอนโด Life สุขุมวิท 48 ไปโรดโชว์ที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสิงคโปร์ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีกลับมา
ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้แล้ว 10,500 ล้านบาท หรือเติบโต 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเปิดขายคอนโดฯ 2 โครงการในไตรมาส 2/59 ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทลงทุนเอง มูลค่าของทั้ง 2 โครงการรวม 3,640 ล้านบาท ได้รับผลตอบรับที่ดี โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม Life สุขุมวิท 48 ที่สามารถปิดการขายโครงการได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ บริษัทยังมั่นใจว่า จะสามารถสร้างรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 23,700 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 22,300 ล้านบาท โดยในช่วงที่เหลืออีก 3 ไตรมาสของปีนี้จะมีการรับรู้รายได้จากยอดขายรอโอน (Backlog) อีก 13,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมี Backlog อยู่ที่ 14,700 ล้านบาท และส่วนที่เหลืออีกกว่า 1,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2560 โดยตั้งเป้าเติบโตในปีหน้าที่ 10%
สำหรับอัตรากำไรสุทธิในปี 2560 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มเป็น 14-15% จากสิ้นปี 2559 นี้ที่คาดว่าอยู่ที่ 11-12% โดยเป็นผลมาจากในปี 2560 บริษัทฯ จะมีการรับรู้รายได้ และกำไรจากโครงการคอนโดฯ ร่วมทุนเพิ่มขึ้นจากปีนี้ 20% หรือมาอยู่ที่ 4,400 ล้านบาท จากปีนี้ที่จะสามารถรับรู้รายได้ และกำไรของบริษัทร่วมทุนอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ซึ่งโครงการคอนโดฯ ของบริษัทร่วมทุนเป็นโครงการที่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิในปีหน้าเพิ่มขึ้นตาม