แบงก์คาด กนง.คงดอกเบี้ย-จับตาเงินทุนผันผวน

กสิกรฯประเมิน กนง.คงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม 6 ส.ค.นี้ สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แต่ยังต้องจับตาในบางกลุ่มที่ยังดูอ่อนแอ รวมทั้งความผันผวนของกระแสเงินทุนรอบใหม่หลังเฟดสิ้นสุด QE

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00% ในการประชุมวันที่ 6 สิงหาคม 2557 นี้ เพื่อรอประเมินสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มปรากฏสัญญาณการฟื้นตัว หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองและการดำเนินมาตรการต่างๆ ของภาครัฐมีความชัดเจนมากขึ้น แต่การที่เครื่องชี้เศรษฐกิจบางรายการ ยังคงให้ภาพที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้คาดว่า ธปท.คงจะรอดูพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจในเดือนหน้าอีกระยะ เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะนำมาประกอบการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงความเสี่ยงทางด้านแรงกดดันเงินเฟ้อของไทยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และอยู่ในวิสัยที่ทางการไทยสามารถบริหารจัดการได้ ก็เป็นอีกปัจจัยที่น่าจะช่วยสนับสนุนให้ กนง. สามารถที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ในระยะข้างหน้า กนง.คงจะเผชิญโจทย์ที่ท้าทายมากขึ้น ทั้งจากปัจจัยเฉพาะหน้า ที่เกี่ยวเนื่องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อในประเทศ ประกอบกับการดูแลปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวเนื่องกับเสถียรภาพในประเทศจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับระดับการออมในประเทศที่ลดลง ซึ่ง กนง. คงต้องชั่งน้ำหนักและจัดลำดับความสำคัญของโจทย์ต่างๆ ดังกล่าว เพื่อประเมินถึงทิศทางระดับและรวมถึงจังหวะเวลาเหมาะสมในการตัดสินใจปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับสภาวะการณ์ของเศรษฐกิจในอนาคต

นอกจากนี้ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อาจสร้างความผันผวนของกระแสเงินทุนรอบใหม่ หลังจากที่เฟดได้ส่งสัญญาณถึงการสิ้นสุดมาตรการซื้อสินทรัพย์ในเดือนตุลาคมนี้ ตลาดการเงิน คงจะติดตามถึงการส่งสัญญาณในการปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดในช่วงข้างหน้า ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนคาดการณ์ของตลาดคงจะสร้างความผันผวนของการเคลื่อนย้ายกระแสเงินทุน

รวมทั้ง กระแสการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินที่ธนาคารกลางบางประเทศในภูมิภาค อาทิ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ได้เริ่มมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา อันจะส่งผลให้ส่วนต่างของผลตอบแทนของพันธบัตรไทยกับประเทศเหล่านั้นต่างกันมากขึ้น ซึ่งในอนาคตอาจจะกระทบต่อความต้องการซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทยโดยนักลงทุนต่างชาติ และคงเป็นอีกปัจจัยที่ กนง. คงจะติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะเกี่ยวพันไปถึงประเด็นด้านกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย เสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน สภาพคล่องของตลาดการเงิน รวมถึงทิศทางผลตอบแทนในระบบ ท่ามกลางแนวโน้มที่ภาครัฐและเอกชนน่าจะมีแผนการระดมทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต