xs
xsm
sm
md
lg

สัมมากร ระบุภาษีที่ดินเปล่า 2% กดดันแลนด์ลอร์ดขายที่ทิ้งแต่ไม่ทำให้ราคาตก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา
บิ๊ก “สัมมากร” ชี้ภาษีที่ดินเปล่า 2% กดดันแลนด์ลอร์ดระบายแลนด์แบงก์ออกสู่ตลาด แต่ไม่ทำให้ราคาไม่ตก แค่หาซื้อที่ดินลงทุนง่ายขึ้น เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลังกำลังซื้อกระเตื้องขึ้น เตือนหนี้ครัวเรือนพุ่ง 16% จาก 1.8 แสนบาท/ครัวเรือน ในปี 2556 เป็น 2.9 แสนบาท ขณะที่ยอดรีเจกต์เพิ่มเป็น 25-30% ชี้มรสุมลูกใหญ่ของธุรกิจอสังหาฯ

นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) และอุปนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า กรณีที่กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอร่างโครงสร้างภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ว่า เห็นด้วยต่อการจัดเก็บภาษีของรัฐบาล แต่ควรมีหลักการในการจัดเก็บกล่าวคือ จัดเก็บจากผู้มีรายได้มาก และยกเว้นผู้มีรายได้น้อย ส่วนการจัดเก็บภาษีที่ดินว่างเปล่าในอัตรา 2% ยกตัวอย่างที่ดินราคาประเมิน 1,000 ล้านบาท ต้องเสียภาษีสูงถึงปีละ 20 ล้านบาท ค่าภาษีดังกล่าวนี้จะกดดันให้แลนด์ลอร์ดที่มีที่ดินว่างเปล่าอยู่ในมือไม่ต้องการแบกรับภาระภาษี นำที่ดินมาขาย ซึ่งจะทำให้มีที่ดินออกมาขายในท้องตลาดเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่ไม่ยอมขายเก็บไว้ให้เป็นที่รกร้าง แต่เชื่อว่าจะไม่ทำให้ราคาที่ดินตกต่ำ เพียงซื้อ-ขายง่ายขึ้นเท่านั้น

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรก ชะลอตัวลงไปมากจากปัญหาทางการเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งภายหลังที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศทำให้ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายลงไปในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะแผนลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐาน 2.4 แสนล้านบาท ที่ คสช. ได้ข้อสรุปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก เนื่องจากมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟทางคู่ และรถไฟสายต่างๆ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะเป็นการเปิดหน้าดินให้แก่ภาคธุรกิจอสังหาฯ ทำให้มีทำเลที่มีศักยภาพในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าครึ่งปีหลังอสังหาฯ จะมีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้น แต่ยังมีปัจจัยลบที่ต้องระมัดระวัง เช่น การปรับเพิ่มขึ้นหนี้ครัวเรือนจากสิ้นปี 2556 อยู่ที่ประมาณ 1.8 แสนบาท/ครัวเรือน เพิ่มมา 16% เป็น 2.9 แสนบาท/ครัวเรือน ขณะที่สัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือนต่อ GDP อยู่ในระดับเกินกว่า 82% ในปัจจุบัน จากสิ้นปี 2556 อยู่ที่ระดับ 80% ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาที่น่ากังวล สะท้อนไปถึงอัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 25-30% ในปัจจุบัน จากปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 15% เท่านั้น โดยในส่วนของบริษัทอัตราปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 25%

นายกิตติพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 มีหลายปัจจัยที่ไม่เอื้อต่อการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ เห็นได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ช่วง 5 เดือนแรกของปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 3% เพราะปัญหาทางการเมือง หนี้สินภาคครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ธนาคารเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ แต่คาดว่าสถานการณ์ต่างๆ จะเริ่มคลี่คลายในช่วงครึ่งปีหลัง ยอดรายได้ของสัมมากรจะปรับตัวเพิ่มขึ้น และน่าจะปิดปี 2557 อยู่ที่ 1,120 ล้านบาท สูงกว่าปี 2556 ที่มีรายได้ 1,057 ล้านบาท ประมาณ 6% โดยที่รายได้หลักของบริษัทฯ ยังคงมาจากส่วนของบ้าน และที่ดิน

“ปัจจัยสนับสนุนในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ มาจากนโยบายที่ชัดเจนของ คสช. ในการแก้ปัญหาสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจไทย และฟื้นการลงทุนของภาครัฐ รวมถึงระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ระบบรถไฟรางคู่ และรถไฟสายต่างๆ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคในประเทศ”

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ยังไม่มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ แต่จะหันมาเน้นระบายสินค้า โดยใช้โอกาสฉลองการก่อตั้งบริษัทฯ ครบ 44 ปี จัดแคมเปญกระตุ้นการขาย “Ready to Live” ชูการตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ได้ในทันที ซึ่งเดิมทำเฉพาะกับโครงการคอนโดมิเนียม มาใช้กับโครงการบ้าน และจัดสองโปรโมชันพิเศษ “44 ปีแถมฟรี 44 รายการ” สำหรับลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อบ้านกับสัมมากรภายในเดือนสิงหาคมนี้ ด้วยการแถมสินค้าแบรนด์เนมคุณภาพดี 44 รายการ พร้อมฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง ค่าประกันมิเตอร์น้ำ มิเตอร์ไฟ ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง 3 ปี และโปรโมชัน “สัมมากรแจกเบนซ์” ที่มอบโชคให้แก่ลูกค้าที่ซื้อบ้านของสัมมากร ภายใน 30 พฤศจิกายนนี้ รับสิทธิลุ้นรับรถเมอร์เซเดส เบนซ์ รุ่น A180 และของรางวัลอื่นๆ มากมาย เช่น บัตรกำนัลเงินสด Chic Republic และ Panasonic รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 3 ล้านบาท

ปัจจุบัน บริษัทฯ มี 8 โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา คิดเป็นมูลค่ารวมราว 6,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอนมูลค่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ยาวไปได้อีก 3-4 ปี ได้แก่ Aqua Divina ถนนรามคำแห่ง 94, รามคำแหง 162/1, รังสิต-นครนายก คลอง 2, มีนบุรี-สามวา/หทัยราษฎร์, นิมิตใหม่, รังสิต-นครนายก คลอง 7, Flora Divina-ราชพฤกษ์/345 และ S9 MRT บางรักใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวมราว 1,300 ล้านบาท ได้แก่ ชัยพฤกษ์/แจ้งวัฒนะ และท่าอิฐ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2558

สำหรับในช่วง 6 เดือนแรก บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 400 ล้านบาท โดยคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีจะสามารถทำได้ตามเป้าที่วางเอาไว้ 1,125 ล้านบาท ซึ่งไม่นับรวมรายได้จากค่าเช่าของบริษัท เพียวสัมมากร ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด อีกปีละกว่า 125 ล้านบาท

“ในปี 2558 บริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้นอย่างโดดเด่น และทิศทางการเติบโตของบริษัทฯ ก็จะแตกต่างไปจากเดิม ที่เคยเน้นไปที่โครงการแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด แต่จะเพิ่มความหลากหลายมากขึ้น โดยจะมีทั้งแนวราบ คอนโดมิเนียม และคอมมูนิตีมอลล์ โดยสัมมากรคาดการณ์ว่า รายได้รวมในปีหน้าจะอยู่ที่ 1,725 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนรายได้เป็น แนวราบ 1,100 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 500 ล้านบาท และอื่นๆ อีกราว 125 ล้านบาท” นายกิตติพล กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น