บิ๊ก พีดี เฮ้าส์ เชื่อตลาดรับสร้างครึ่งปีหลังโต หลังความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้น ลุยเปิด 9 สาขา หวังกวาดยอดขายตามเป้า 2,400 ล้านบาท ล่าสุด เปิดตัว 8 แบบบ้านใหม่ สไตล์ทัสคานี คอตเทจ ราคา 2.5-7 ล้านบาท อัดโปรโมชันแจกทองหนัก 15 บาท ตั้งเป้ายอดขายไตรมาส 3 กว่า 600 ล้านบาท
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ และเอคิวโฮม เปิดเผยว่า นับจากเหตุการณ์ทางการเมืองสงบลง สถานการณ์เศรษฐกิจมีทิศทางดีขึ้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัว หันมาสร้างบ้านเพิ่มมากขึ้น ทำให้บริษัทยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างยอดขายรวมได้ตามเป้าหมายเดิมที่วางเอาไว้ได้ที่ 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดสร้างบ้าน 2,000 ล้านบาท รายได้จากแฟรนไชส์รับสร้างบ้าน 180 ล้านบาท และยอดขายวัสดุก่อสร้าง 270 ล้านบาท
ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศในช่วงครึ่งปีแรกโตเพียง 2% เท่านั้น โดยบริษัทมียอดขาย 925 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดสร้างบ้าน 700 ล้านบาท รายได้จากแฟรนไชส์รับสร้างบ้านจำนวน 87 ล้านบาท ในส่วนของยอดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างทำได้ 138 ล้านบาท ซึ่งยอมรับว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งส่วนหนึ่งเชื่อว่ามาจากราคายางพาราตกต่ำ โดยปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายยังคงเป็นเรื่องปัญหาขาดแคลนแรงงาน และความขัดแย้งทางการเมือง
“ตัวเลขยอดขายรวมที่ทำได้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด เพราะปี 57 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้สูงกว่าปีที่แล้วถึงร้อยละ 40 ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองก็เกิดความวุ่นวาย และเศรษฐกิจก็อยู่ในภาวะชะลอตัวในช่วงครึ่งปีแรก แต่ทั้งนี้ ยอดขายรวมของบริษัทฯ ก็ยังสามารถเติบโตได้ ซึ่งในช่วงผ่าน 4 เดือนแรกปีนี้ บริษัทฯ เองก็เคยพิจารณาว่าจะปรับลดเป้ายอดขายลงด้วย เพราะยอดขายบ้านไม่เป็นไปตามแผนการตลาดที่วางไว้ แต่เมื่อความขัดแย้งทางการเมืองสงบลง และเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ภายหลังจากที่มีการรัฐประหารเกิดขึ้น โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งปรากฏว่า ความมั่นใจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านก็ฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น บริษัทฯ จึงคงยืนเป้ายอดขาย และรายได้ไว้ที่ 2,450 ล้านบาทตามเดิม เพราะเชื่อว่ามีกำลังซื้อมากพอ” นายสิทธิพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดหลังการเมืองสงบในช่วงปลายไตรมาส 2 ตลาดฟื้นตัวขึ้นมากว่า 20-30% ผู้บริโภคกลับมาสร้างบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะระดับราคา 3-5 ล้านบาท รวมถึงราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปในต่างจังหวัด ทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้
ด้านนายพิศาล ธรรมวิเศษ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ฯ กล่าวเสริมว่า แนวโน้ม และทิศทางตลาดรวมรับสร้างบ้านในช่วงไตรมาส 3 คาดว่าจะฟื้นตัว หลังจากที่กำลังซื้ออั้นมานานหลายเดือน และเชื่อว่าการแข่งขันจะกลับมาคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งตลาดภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองมานาน วิเคราะห์ได้จากจำนวนลูกค้าที่เข้ามาติดต่อใช้บริการกับศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ และเอคิวโฮม ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยแล้วมียอดขายเติบโตเกือบร้อยละ 30 เมื่อเปรียบเทียบกับ 4 เดือนแรกปีนี้
ปัจจุบัน ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ และเอคิวโฮมมีสาขารวม 39 สาขา แยกเป็นพีดีเฮ้าส์ 36 สาขา และเอคิวโฮม 3 สาขา โดยในครึ่งปีหลังมีแผนจะขยายเพิ่มอีก 9 สาขา เพื่อให้สามารถบริการสร้างบ้านได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศยิ่งขึ้น โดยไตรมาส 3 นี้จะเปิดสาขาใหม่อีก 6สาขา เริ่มจากเดือน ก.ค. นี้ เปิดเพิ่มสาขาจังหวัดร้อยเอ็ด และลำปาง ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. จะเปิดสาขากาฬสินธุ์ มุกดาหาร บุรีรัมย์ และประจวบคีรีขันธ์ และไตรมาสสุดท้ายมีแผนจะขยายเพิ่มอีก 3 สาขา ทั้งนี้ การที่บริษัทฯ เร่งขยายสาขาก็เพื่อหวังจะแชร์ส่วนแบ่งตลาดรับสร้างบ้านทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งต่างจังหวัดด้วยเป้าหมายมียอดขายบ้านอันดับ 1 ของประเทศ
สำหรับกลยุทธ์การแข่งขันในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มีแผนจะเปิดตัว 8 แบบบ้านใหม่ สไตล์ทัสคานี (Tuscany Style) และสไตล์คอตเทจ (Cottage Style) ระดับราคา 2.5-5 ล้านบาทเศษ ตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านหลังแรก หรือหลังที่ 2 แนวพักผ่อนในต่างจังหวัด รวมทั้งเปิดตัว “บ้านพร้อมสระว่ายน้ำ” สไตล์โมเดิร์นอีก 2 แบบ ในระดับราคา 5-7 ล้านบาทเศษ เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย และดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือน ก.ค. บริษัทฯ เตรียมเปิดตัว และออนแอร์ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ชื่อ “ตอบแทน” เพื่อส่งเสริมความรัก และความกตัญญูต่อแม่ผู้มีพระคุณ เนื่องในโอกาสใกล้จะถึงวันแม่แห่งชาติในเดือน ส.ค. ที่จะถึงนี้ พร้อมจัดโปรโมชันมอบทองคำหนักสูงสุด 15 บาท สำหรับลูกค้าที่จองสร้างบ้านกับ 4 แบบยอดฮิต ได้แก่ W-991, W-510, F-757, WA-725 โดยตั้งเป้ายอดขายไตรมาส 3 นี้ไว้ 600 ล้านบาท