สงครามช่วยผลักดันราคาทองคำ แต่แค่เพียงระยะสั้น หาใช่ระยะยาว ภาพรวมแรงเทขายจดจ้องรอทำกำไร ช่องว่างทำกำไรเหลือน้อยลง ผิดกับที่ถือยาวมาก่อนเกิดเหตุการณ์ ประเมินล่าสุด..สูงสุดปีนี้เต็มที่ทองคำไทยไม่เกิน 21,500 บาท จับตาประชุมเฟด หากส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย ถือเป็นจุดเริ่มแห่งการปรับตัวลง
แม้นักลงทุนทุกคนจะรับรู้ว่า รอบการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงนี้ไม่ได้หวือหวาเหมือนในช่วง 2-3 ปีก่อน แต่ความสนใจเข้าลงทุนในทองคำยังไม่หมดเสน่ห์ที่เย้ายวนไปเสียหมด และยังเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนอยู่ในระดับหนึ่ง ด้วยทองคำยังถือเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่ปลอดความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะหุ้น
ช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำในประเทศปรับตัวอยู่ในระดับ 20,000-20,450 บาท มาช่วงระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยผลักดันราคาออกมาเพิ่มเติม อีกทั้งการรับรู้กรณีธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดวงเงินในมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) นั้น นักลงทุนได้รับรู้เรื่องดังกล่าวมามากแล้ว เช่นเดียวกับแนวคิดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ก็ถูกพูดถึงน้อยลงไป ...ในแง่กลับกัน เมื่อเกิดความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ต่างๆ ...ทองคำ จะกลายเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ เช่นเดิม
ความรุนแรง หรือสงครามที่เกิดขึ้นในแง่การลงทุน ถูกยกเป็นเครื่องมือในการผลักดันราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่สมัยก่อนๆ ดังนั้น เมื่อโลกรับรู้ถึงความตรึงเครียดจากสถานการณ์สงคราม ราคาทองคำจะเป็นเครื่องมือลงทุนประเภทแรกที่ปรับตัวตอบรับสถานการณ์ดังกล่าว สังเกตได้จากกรณีสงคราม หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น เช่น กรณีของยูเครนกับรัสเซียในช่วงก่อนหน้านี้ รวมถึงเหตุการณ์ล่าสุด นั่นคือ ความวุ่นวายในอิรัก มีผลให้ราคาสัญญาซื้อขายทองคำในตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ส.ค.ปรับเพิ่มขึ้น 4.6 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.35% 1,326.6 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ นับเป็นการปรับตัวสูงสุดตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน2557 ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า... ยิ่งภาพรวมสถานการณ์ความรุนแรง หรือความขัดแย้งมีความร้อนแรงมากขึ้น ราคาทองคำก็จะวิ่งขึ้นไล่ทำลายสถิติของตนเองต่อไปเรื่อยๆ
กลับมาที่ในแง่ของการลงทุน ทุกครั้งที่กลิ่นอายสงครามคุโชนเข้าสู่ตลาดทุน กองทุนทองคำขนาดใหญ่ และกองทุนอื่นๆ จะเริ่มขยับตัวเข้าเก็บสะสมทองคำ เพื่อทำกำไรในช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้นมาถึงจุดที่กำหนดไว้ โดยแรงซื้อจากกองทุน หรือสถาบันเหล่านี้นั่นเองที่มีผลผลักดันราคาทองคำทะยานขึ้น เช่นในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2557 กองทุน ETF ทองคำอันดับหนึ่งของโลก “SPDR Gold Trust” เข้าถือครองทองคำเพิ่มขึ้นเป็น 25.4 ล้านออนซ์ ก่อนเทขายทองคำออกมาทำกำไรในช่วงกลางเดือน
สัญญา หาญพัฒนากิจพานิช ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก กล่าวถึงทิศทางราคาทองคำในช่วงนี้ว่า ราคาทองคำยังมีโอกาสในการปรับขึ้นไปได้อีก โดยภาพรวมทั้งปีส่วนตัวเชื่อว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,230-1,390 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ภายใต้เงื่อนไขค่าเงินดอลลาร์สหรัฐถูกกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด แต่การปรับขึ้นของราคาทองคำรอบนี้จะไม่หวือหวา หรือเติบโตมากเหมือนก่อน
ส่วนกรณีสถานการณ์ในอิรักนั้น มองว่าสงครามที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งหมายถึงจะช่วยสนับสนุนราคาทองคำได้ไม่มากเท่าใด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความยืดเยื้อของสถานการณ์นั่นเอง
“เป็นดังเช่นทุกครั้ง เมื่อเกิดปัญหาสงคราม นักลงทุนจะมีความกังวลต่อเรื่องดังกล่าว ทำให้เกิดการเทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นออกมา และจะโยกเงินลงทุนเข้าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย และมีความปลอดภัย เช่น ทองคำ แต่ฟันด์โฟลว์ที่จะมาสนับสนุนนั้นมีไม่มาก เราอาจได้เห็นราคาทองคำกลับมาแตะจุดสูงสุดเดิมที่ 1,390 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เหมือนเช่นตอนกรณีรัสเซีย-ยูเครน ได้อีกครั้ง ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด จากสถานการณ์ที่กดดันเช่นนี้ ทำให้เชื่อว่าน่าจะได้เห็นการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในช่วงปีหน้ามากกว่า”
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก เชื่อว่า ตอนนี้การปรับลดวงเงินในมาตรการ QE และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีผลกระทบต่อราคาทองคำไม่มากนัก **จนกว่าการประชุมครั้งล่าสุดที่จะถึงนี้ เฟดมีการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยออกมา นั่นจะมีผลทำให้ราคาทองคำที่กำลังไต่ระดับขึ้นสูงปรับตัวลดลง และโดยรวมเชื่อว่าปีนี้ราคาทองคำจะไม่ต่ำกว่า 1,300 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ หรือไม่เกิน 21,500 บาท
ขณะที่ ณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส** มองว่า การลงทุนในทองคำยังมีความน่าสนใจ หากอยู่ในระดับราคาที่ต่ำ ส่วนปัจจัยที่ผลักดันราคาทองคำจากกรณีสงคราม มองว่าเป็นปัจจัยสนับสนุนในระยะสั้นๆ ไม่กี่สัปดาห์ และจากนั้นราคาทองคำจะปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ เมื่อมองภาพรวมของปี 2557 จะพบว่า ราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากต้นปีไปแล้ว 10% แม้จะไม่เป็นขาขึ้นมากนักเหมือนช่วงหลายปีก่อน แต่เชื่อว่ากรอบในการปรับตัวลดลงของทองคำในรอบนี้น่าจะปรับตัวลดลงได้ไม่แรงนัก อีกทั้งยังจะมีปัจจัยสนับสนุนราคาจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มเติม และควรจับตาการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบของกลุ่มสหภาพยุโรป และการเพิ่มสภาพคล่องโดยการลดวงเงินสำรองการปล่อยกู้ของบรรดาธนาคารพาณิชย์จีน เข้ามาสนับสนุน ซึ่งอาจทำให้ราคาขยับขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของปีนี้
นอกจากนี้ จากเม็ดเงินที่ไหลเข้าไปในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วจำนวนมาก เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หากประเมินจากค่า P/E ตลาดในปัจจุบันที่ประมาณ 15-16 เท่า ก็เชื่อว่าในอีกระยะหนึ่งน่าจะมีการเทขายทำกำไรหุ้นในตลาดพัฒนาแล้วเหล่านี้ออกมาเช่นกัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมา และสร้างสถิติใหม่เกิดขึ้นมาหลายครั้ง จึงทำให้เชื่อว่าเมื่อเงินไหลออกจากตลาดหุ้น นักลงทุนส่วนหนึ่งจะโยกเงินลงทุนเข้าสู่ทองคำที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า หากพิจารณาเทียบกับการนำเงินไปลงทุนในพันธบัตร
กลับมาที่ราคาทองคำในเมืองไทย ณัฐพล เชื่อว่า ราคาทองคำในปัจจุบันกับราคาเป้าหมายที่อาจได้เห็นในปีนี้ของราคาทองคำหนีกันไม่มาก จากระดับในทุกวันนี้ที่ 20,500-21,500 บาท โดยราคาสูงสุดที่อาจได้เห็นทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นน่าจะอยู่ที่ประมาณ 22,250 บาท**
ส่วนค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เชื่อว่าไม่น่าจะอ่อนตัวลงไปได้มากกว่านี้ และน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน 32-33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการอ่อนตัวที่มีผลมาจากปัญหาทางการเมืองตั้งแต่ปลายปีก่อน ที่เริ่มมีการชุมนุม และเป็นระดับที่รอการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น จากข่าวกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ยังมีหลายนโยบายและแผนงานจะนำเสนอเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง เช่นการเดินหน้าโครงการภาครัฐ การจัดตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ ดังนั้น จึงมองว่าการลงทุนในทองคำยังไม่หมดเสน่ห์ลงไป
ดังนั้น ภาพรวมการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำช่วงนี้ ได้มาจากสถานการณ์สงครามในอิรัก และยูเครน ที่อาศัยความยืดเยื้อของเหตุการณ์พยุงราคาให้ทรงตัว และทยอยปรับตัวในขาขึ้น ท่ามกลางแรงเทขายทำกำไรที่จดจ้องหาจังหวะ จนแทบจะกล่าวได้ว่า หากตัดสินใจทองคำในช่วงนี้ถือว่ามีความเสี่ยงที่สูงกว่า ผู้ที่ถือครองทองคำไว้ตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ในช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงสร้างผลตอบแทนกลับคืนจากการลงทุนที่สูงกว่า ความเสี่ยงรอบข้างที่ใกล้จะเกิดขึ้น
แม้นักลงทุนทุกคนจะรับรู้ว่า รอบการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงนี้ไม่ได้หวือหวาเหมือนในช่วง 2-3 ปีก่อน แต่ความสนใจเข้าลงทุนในทองคำยังไม่หมดเสน่ห์ที่เย้ายวนไปเสียหมด และยังเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนอยู่ในระดับหนึ่ง ด้วยทองคำยังถือเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่ปลอดความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะหุ้น
ช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำในประเทศปรับตัวอยู่ในระดับ 20,000-20,450 บาท มาช่วงระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยผลักดันราคาออกมาเพิ่มเติม อีกทั้งการรับรู้กรณีธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดวงเงินในมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) นั้น นักลงทุนได้รับรู้เรื่องดังกล่าวมามากแล้ว เช่นเดียวกับแนวคิดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ก็ถูกพูดถึงน้อยลงไป ...ในแง่กลับกัน เมื่อเกิดความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ต่างๆ ...ทองคำ จะกลายเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ เช่นเดิม
ความรุนแรง หรือสงครามที่เกิดขึ้นในแง่การลงทุน ถูกยกเป็นเครื่องมือในการผลักดันราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่สมัยก่อนๆ ดังนั้น เมื่อโลกรับรู้ถึงความตรึงเครียดจากสถานการณ์สงคราม ราคาทองคำจะเป็นเครื่องมือลงทุนประเภทแรกที่ปรับตัวตอบรับสถานการณ์ดังกล่าว สังเกตได้จากกรณีสงคราม หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น เช่น กรณีของยูเครนกับรัสเซียในช่วงก่อนหน้านี้ รวมถึงเหตุการณ์ล่าสุด นั่นคือ ความวุ่นวายในอิรัก มีผลให้ราคาสัญญาซื้อขายทองคำในตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ส.ค.ปรับเพิ่มขึ้น 4.6 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.35% 1,326.6 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ นับเป็นการปรับตัวสูงสุดตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน2557 ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า... ยิ่งภาพรวมสถานการณ์ความรุนแรง หรือความขัดแย้งมีความร้อนแรงมากขึ้น ราคาทองคำก็จะวิ่งขึ้นไล่ทำลายสถิติของตนเองต่อไปเรื่อยๆ
กลับมาที่ในแง่ของการลงทุน ทุกครั้งที่กลิ่นอายสงครามคุโชนเข้าสู่ตลาดทุน กองทุนทองคำขนาดใหญ่ และกองทุนอื่นๆ จะเริ่มขยับตัวเข้าเก็บสะสมทองคำ เพื่อทำกำไรในช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้นมาถึงจุดที่กำหนดไว้ โดยแรงซื้อจากกองทุน หรือสถาบันเหล่านี้นั่นเองที่มีผลผลักดันราคาทองคำทะยานขึ้น เช่นในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2557 กองทุน ETF ทองคำอันดับหนึ่งของโลก “SPDR Gold Trust” เข้าถือครองทองคำเพิ่มขึ้นเป็น 25.4 ล้านออนซ์ ก่อนเทขายทองคำออกมาทำกำไรในช่วงกลางเดือน
สัญญา หาญพัฒนากิจพานิช ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก กล่าวถึงทิศทางราคาทองคำในช่วงนี้ว่า ราคาทองคำยังมีโอกาสในการปรับขึ้นไปได้อีก โดยภาพรวมทั้งปีส่วนตัวเชื่อว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,230-1,390 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ภายใต้เงื่อนไขค่าเงินดอลลาร์สหรัฐถูกกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด แต่การปรับขึ้นของราคาทองคำรอบนี้จะไม่หวือหวา หรือเติบโตมากเหมือนก่อน
ส่วนกรณีสถานการณ์ในอิรักนั้น มองว่าสงครามที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งหมายถึงจะช่วยสนับสนุนราคาทองคำได้ไม่มากเท่าใด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความยืดเยื้อของสถานการณ์นั่นเอง
“เป็นดังเช่นทุกครั้ง เมื่อเกิดปัญหาสงคราม นักลงทุนจะมีความกังวลต่อเรื่องดังกล่าว ทำให้เกิดการเทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นออกมา และจะโยกเงินลงทุนเข้าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย และมีความปลอดภัย เช่น ทองคำ แต่ฟันด์โฟลว์ที่จะมาสนับสนุนนั้นมีไม่มาก เราอาจได้เห็นราคาทองคำกลับมาแตะจุดสูงสุดเดิมที่ 1,390 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เหมือนเช่นตอนกรณีรัสเซีย-ยูเครน ได้อีกครั้ง ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด จากสถานการณ์ที่กดดันเช่นนี้ ทำให้เชื่อว่าน่าจะได้เห็นการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในช่วงปีหน้ามากกว่า”
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก เชื่อว่า ตอนนี้การปรับลดวงเงินในมาตรการ QE และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีผลกระทบต่อราคาทองคำไม่มากนัก **จนกว่าการประชุมครั้งล่าสุดที่จะถึงนี้ เฟดมีการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยออกมา นั่นจะมีผลทำให้ราคาทองคำที่กำลังไต่ระดับขึ้นสูงปรับตัวลดลง และโดยรวมเชื่อว่าปีนี้ราคาทองคำจะไม่ต่ำกว่า 1,300 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ หรือไม่เกิน 21,500 บาท
ขณะที่ ณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส** มองว่า การลงทุนในทองคำยังมีความน่าสนใจ หากอยู่ในระดับราคาที่ต่ำ ส่วนปัจจัยที่ผลักดันราคาทองคำจากกรณีสงคราม มองว่าเป็นปัจจัยสนับสนุนในระยะสั้นๆ ไม่กี่สัปดาห์ และจากนั้นราคาทองคำจะปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ เมื่อมองภาพรวมของปี 2557 จะพบว่า ราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากต้นปีไปแล้ว 10% แม้จะไม่เป็นขาขึ้นมากนักเหมือนช่วงหลายปีก่อน แต่เชื่อว่ากรอบในการปรับตัวลดลงของทองคำในรอบนี้น่าจะปรับตัวลดลงได้ไม่แรงนัก อีกทั้งยังจะมีปัจจัยสนับสนุนราคาจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มเติม และควรจับตาการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบของกลุ่มสหภาพยุโรป และการเพิ่มสภาพคล่องโดยการลดวงเงินสำรองการปล่อยกู้ของบรรดาธนาคารพาณิชย์จีน เข้ามาสนับสนุน ซึ่งอาจทำให้ราคาขยับขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของปีนี้
นอกจากนี้ จากเม็ดเงินที่ไหลเข้าไปในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วจำนวนมาก เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หากประเมินจากค่า P/E ตลาดในปัจจุบันที่ประมาณ 15-16 เท่า ก็เชื่อว่าในอีกระยะหนึ่งน่าจะมีการเทขายทำกำไรหุ้นในตลาดพัฒนาแล้วเหล่านี้ออกมาเช่นกัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมา และสร้างสถิติใหม่เกิดขึ้นมาหลายครั้ง จึงทำให้เชื่อว่าเมื่อเงินไหลออกจากตลาดหุ้น นักลงทุนส่วนหนึ่งจะโยกเงินลงทุนเข้าสู่ทองคำที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า หากพิจารณาเทียบกับการนำเงินไปลงทุนในพันธบัตร
กลับมาที่ราคาทองคำในเมืองไทย ณัฐพล เชื่อว่า ราคาทองคำในปัจจุบันกับราคาเป้าหมายที่อาจได้เห็นในปีนี้ของราคาทองคำหนีกันไม่มาก จากระดับในทุกวันนี้ที่ 20,500-21,500 บาท โดยราคาสูงสุดที่อาจได้เห็นทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นน่าจะอยู่ที่ประมาณ 22,250 บาท**
ส่วนค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เชื่อว่าไม่น่าจะอ่อนตัวลงไปได้มากกว่านี้ และน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน 32-33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการอ่อนตัวที่มีผลมาจากปัญหาทางการเมืองตั้งแต่ปลายปีก่อน ที่เริ่มมีการชุมนุม และเป็นระดับที่รอการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น จากข่าวกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ยังมีหลายนโยบายและแผนงานจะนำเสนอเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง เช่นการเดินหน้าโครงการภาครัฐ การจัดตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ ดังนั้น จึงมองว่าการลงทุนในทองคำยังไม่หมดเสน่ห์ลงไป
ดังนั้น ภาพรวมการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำช่วงนี้ ได้มาจากสถานการณ์สงครามในอิรัก และยูเครน ที่อาศัยความยืดเยื้อของเหตุการณ์พยุงราคาให้ทรงตัว และทยอยปรับตัวในขาขึ้น ท่ามกลางแรงเทขายทำกำไรที่จดจ้องหาจังหวะ จนแทบจะกล่าวได้ว่า หากตัดสินใจทองคำในช่วงนี้ถือว่ามีความเสี่ยงที่สูงกว่า ผู้ที่ถือครองทองคำไว้ตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ในช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงสร้างผลตอบแทนกลับคืนจากการลงทุนที่สูงกว่า ความเสี่ยงรอบข้างที่ใกล้จะเกิดขึ้น