บมจ.เซ็ปเป้ (SAPPE) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม ภายใต้ชื่อการค้า “SAPPE” พร้อมซื้อขายใน ตลท. 25 มิ.ย.นี้
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บมจ.เซ็ปเป้ (SAPPE) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน ตลท. ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2557 ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,050 ล้านบาท โดย SAPPE เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม เช่น เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ เซ็ปเป้ บิวติ ชอท ผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ เช่นเซ็ปเป้ ฟอร์ วัน เดย์ น้ำผักผลไม้เข้มข้น โมกุ โมกุ น้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าว รวมถึงกาแฟควบคุมน้ำหนัก เพรียวคอฟฟี่ เป็นต้น โดยจัดจำหน่ายทั้งใน และต่างประเทศ สำหรับต่างประเทศจำหน่ายผ่านตัวแทนไปยังกว่า 50 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง รวมทั้งผ่านบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ Sappe Indo และ Sappe Europe ที่จัดจำหน่ายและทำการตลาดในประเทศอินโดนีเซีย และแถบประเทศยุโรป ตามลำดับ
SAPPE มีทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญเดิม 225 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 75 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในราคาหุ้นละ 13.50 บาท เมื่อวันที่ 18-20 มิถุนายน 2557 คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,012.50 ล้านบาท โดยมีบริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายอดิศักดิ์ รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAPPE เปิดเผยว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุนให้แก่บริษัทในการขยายกำลังการผลิตเครื่องบรรจุน้ำและขวด PET รองรับแผนการขยายฐานการผลิตในตลาดต่างประเทศ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบรับกับ Life Style ของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างตอเนื่อง มุ่งสู่เป้าหมายการสร้างแบรนด์สินค้าของคนไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดโลก
หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SAPPE 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มรักอริยะพงศ์ ถือหุ้น 75% คุณวิเศษ วชิรพงศ์ ถือหุ้น 2% และคุณปัญญา ภู่ไชย ถือหุ้น 0.7% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 15.9 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ไตรมาส 2/2556-ไตรมาส 1/2557) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.85 บาท โดย P/E ratio เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจคล้ายคลึงกับบริษัทในช่วง 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์-30 พฤษภาคม 2557 เท่ากับ 27.50 เท่า ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองตามที่กฎหมายกำหนดโดยพิจารณาจากงบการเงินเฉพาะกิจการ