ก.ล.ต. นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล ‘บมจ.เซ็ปเป้’ ผู้สร้างสรรค์เครื่องดื่มระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์และเครื่องดื่มที่มุ่งเน้นนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์เรื่องสุขภาพ และความงามแก่ผู้บริโภค เตรียมเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 75 ล้านหุ้น ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในไตรมาส 2 ปีนี้ ด้านผู้บริหารประเมินแนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงามมีอัตราการเติบโตที่ดีจากปัจจัยกระแสผู้บริโภครักสุขภาพ ชูจุดเด่นนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ภายใต้ 13 ตราสินค้า โดยแบรนด์เซ็ปเป้ มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์สำหรับผู้หญิง
นายประเสริฐ ภัทรดิลก กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทแอดไวเซอรี่ พลัส จำกัดในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในการนำหุ้นบริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (แบบไฟลิ่ง) และยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งของบริษัทฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ บมจ.เซ็ปเป้ ได้ยื่นแบบคำขอเสนอขายหลักทรัพย์ต่อ ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 75 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน จำนวน 304.62 ล้านบาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและชำระแล้วมีจำนวน 225 ล้านบาท คิดเป็น 225 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) ผู้สร้างสรรค์เครื่องดื่มระดับโลก ที่ดำเนินธุรกิจผลิต จำหน่ายผลิตภัณฑ์ และเครื่องดื่มที่มุ่งเน้นนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์เรื่องสุขภาพ และความงามให้แก่ผู้บริโภค โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ภายใต้ 13 ตราสินค้าที่จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม ภายใต้แบรนด์ เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์, เซ็ปเป้ บิวติ ชอท และเซนต์แอนนา 2.ผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำผลไม้/เครื่องดื่มแต่งกลิ่นผลไม้ ได้แก่ เซ็ปเป้ ฟอร์ วัน เดย์ น้ำผักผลไม้เข้มข้น 100%, โมกุ โมกุ น้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าว, ชิววี่ และ โคโค่ แครช เครื่องดื่มแต่งกลิ่นผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าว และเซ็ปเป้ อโล เวร่า ดริ้งค์ น้ำว่านหางจระเข้กลิ่นผลไม้ผสมชิ้นว่านหางจระเข้ 3.ผลิตภัณฑ์ประเภทผงพร้อมชง เพื่อสุขภาพและความงาม แบรนด์ เพรียว คอฟฟี่, สวิสส์ การ์เดน คอฟฟี่ และสลิมฟิต คอฟฟี่ โดยเป็นกาแฟควบคุมน้ำหนักเพื่อสุขภาพและความงาม และเพรียว คลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นคลอโรฟิลล์ผงที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นที่ช่วยดีท็อกซ์ขับล้างสารพิษ และ 4.ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มปรุงสำเร็จพร้อมดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม ได้แก่ เพรียว คอฟฟี่ แบบกระป๋อง
“ภายหลังจากที่ ก.ล.ต. อนุญาตให้บริษัทฯ เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนและแบบแสดงรายการข้อมูลมีผลใช้บังคับแล้ว บล.แอดไวเซอรี่ พลัส และ บมจ.เซ็ปเป้ จะกำหนดวันเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชน ก่อนนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปใช้ในโครงการขยายกำลังการผลิตเครื่องบรรจุน้ำและการผลิตขวด PET เพื่อรองรับแผนขยายธุรกิจ ส่วนที่เหลือจะนำไปใช้ชำระหนี้เงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ” นายประเสริฐ กล่าว
ด้านนายอดิศักดิ์ รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มีนโยบายสร้างสรรค์แบรนด์ ‘เซ็ปเป้’ และแบรนด์อื่นๆ ไปสู่การเป็นเครื่องดื่มชั้นนำระดับโลก โดยให้ความสำคัญต่อการสร้างความแปลกใหม่ในด้านนวัตกรรมให้แก่วงการเครื่องดื่ม ทั้งด้านรสชาติสินค้า และบรรจุภัณฑ์ ภายใต้กระบวนการผลิต การวิจัย ช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย เพื่อรุกทำตลาดเครื่องดื่มสุขภาพในตลาดต่างประเทศ โดยปัจจุบัน มีการส่งออกสินค้าไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ทั้งทวีปเอเชีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ โดยเป็นการจำหน่ายผ่านคู่ค้า ตัวแทนจำหน่าย ตัวแทนนำเข้าสินค้า ผู้ค้าปลีก และร้านค้าย่อยในช่องทางการจัดจำหน่ายต่างๆ ซึ่งผู้บริโภคได้ให้การยอมรับ ส่งผลให้ยอดขายจากตลาดต่างประเทศมีแนวโน้มอัตราเติบโตที่ดีมาก
ส่วนตลาดในประเทศนั้น แบรนด์ ‘เซ็ปเป้’ มีความแข็งแกร่งได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมห่วงใยสุขภาพ ทั้งด้านคุณภาพสินค้าที่ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความภักดีต่อแบรนด์ ทำให้แบรนด์ ‘เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์’ สามารถครองส่วนแบ่งตลาดเป็นเบอร์ 1 ของตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์สำหรับผู้หญิง ซึ่งเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตที่ดี
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโรงงานซึ่งเป็นฐานการผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ โรงงานบางชัน ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางชัน กรุงเทพฯ และโรงงานคลอง 13 จังหวัดปทุมธานี โดยทำการผลิตเครื่องดื่มกำลังการผลิตรวม 100,000 ตันต่อปี และบรรจุภัณฑ์ขวด PET กำลังการผลิตรวม 164 ล้านขวดต่อปี
“เราตั้งเป้าหมายที่จะสร้างแบรนด์สินค้าของคนไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดโลก โดยเน้นการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ และบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัย มีความโดดเด่น ภายใต้นโยบายสินค้าที่มีคุณภาพ เป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภค” นายอดิศักดิ์ กล่าว