“เกศรา”เผยเชื่อครึ่งปีหลังตลาดหุ้นเริ่มทยอยฟื้นตัว หลัง คสช.วางแนวทางเศรษฐกิจชัดเจน ความเชื่อมั่นนักลงทุนใหลกลับเข้าเทรดดันดัชนีหุ้นพุ่งชัดเจน ฟาก “สมบัติ” ภาพรวมบริษัทจดทะเบียนไทยแข็งแกร่ง พิษการเมืองไม่กระทบ บจ. เพราะผ่านสมรภูมิการเมืองมามาก ส่วน “ปริญญ์” ฟุ้งฝรั่งรอจังหวะ SET INDEX ปรับตัวลดลงจ้องช้อนของถูกในตลาดหุ้นไทย
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวในงานสัมมนา “หุ้นไทย ในมุมมองผู้ลงทุนสถาบัน” ว่าจากความเคลื่อนใหวของดัชนี SET INDEX ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นตัวชี้วัดการลงทุนว่านักลงทุนในกลุ่มต่างๆ มีความเชื่อมั่นในการลงทุนมากขึ้น รวมถึงปริมาณการซื้อขายที่อยู่ในระดับที่ดีขึ้น สืบเนื่องมาจากทาง คสช. ได้ประกาศนโยบายทางเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการ ถือว่าเป็นผลบวกโดยรวมต่อตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ดี คาดว่าในครึ่งปีหลัง การลงทุนของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ที่มีความต่อเนื่องออกไปจะมีความสำคัญ และความจำเป็นมากขึ้นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ
ขณะเดียวกัน นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กล่าวว่า ภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจคาดว่าจะเริ่มทยอยปรับตัวดีขึ้นโดยลำดับ จากโครงการต่างๆ ที่ค้างอยู่ในรัฐบาลชุดที่แล้ว สามารถเริ่มดำเนินการต่อไปได้เพราะกลไกทางงบประมาณเริ่มทยอยเบิกจ่ายเพื่อพัฒนาประเทศ อย่างไรก็ดี ในส่วนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น มีความเข้มแข็งทางการเงิน สามารถที่จะทำการแข่งขัน และแสวงหาตลาดใหม่ๆได้ เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้ได้เคยผ่านวิกฤตทางการเมืองในประเทศไทยมาแล้วหลายครั้ง และ ณ ขณะนี้ข้อขัดแย้งทางการเมืองได้ยุติลงแล้ว และปัญหาเรื่องงบประมาณการลงทุนที่หลายฝ่ายกังวลอยู่ เริ่มมีสภาพคล่องที่กลับมาดีขึ้น ซึ่งคาดว่าในครึ่งปีหลังกลุ่มผู้ประกอบการทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่จะมีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น
“ตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดที่ต่ำที่สุดไปแล้ว จากเหตุการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลาย และรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินเดินหน้าโครงการต่างๆ ที่ค้างอยู่ และมีการจ่ายเงินโครงการรับจำนำข้าวให้แก่ชาวนา ส่งผลให้มีเม็ดเงินกระจายในระบบมากขึ้น โดยแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย (EPS) ในปีนี้จะเติบโตได้ +- 5% และในปี 2558 จะสามารถเติบโตได้ในระดับ 10% ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) คาดว่าจะเติบโตประมาณ 2-2.5% จากเดิมที่คาดไว้ว่าจะเติบโตไม่ถึงระดับ 2% และในปีหน้าคาดว่าจะสามารถเติบโตขึ้นแตะระดับ 4-4.5%”
อย่างไรก็ดี การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะนี้ แนะนำให้นักลงทุนระมัดระวังแรงขายทำกำไร โดยหุ้นอาจมีโอกาสของการปรับฐาน หลังจากที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นไปที่ 12-13% โดย กบข.ก็จะมีการปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังนี้ที่ตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้น และสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยมองหุ้นที่ได้ประโยชน์จากทางการเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เช่น หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง แบงก์ กลุ่มค้าปลีก เป็นต้น โดยจะต้องพิจารณาหุ้นรายตัวไปว่าราคาอยู่ในระดับที่น่าจะเข้าไปลงทุนหรือไม่ ซึ่ง กบข. ได้วางแผนในการลงทุนได้อีกกว่า 4,800 ล้านบาท ขณะเดียวกัน การลงทุนในสัดส่วนอื่นๆ ของ กบข. ที่ดำเนินการอยู่ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล 64% หุ้นต่างประเทศ 15% พันธบัตรต่างประเทศ 5% อสังหาริมทรัพย์ 5% ส่วนผลตอบแทนทางการลงทุนของ กบข. ยังคงเป้าหมายผลตอบแทนทั้งปีที่ 5-6% หรือมากกว่าเงินเฟ้อ-เงินฝาก ที่คาดว่าจะโตระดับ 2-3%
“ขณะที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน หรือ กนง. ในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ มองว่า กนง.จะยังไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโนบายลง ซึ่งน่าจะคงไว้ในระดับเดิม เพื่อเป็นนโยบายสำรองเอาไว้รองรับในระยะเวลาที่เศรษฐกิจมีความอ่อนแอ”
ทั้งนี้ ในส่วนของ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มทิศทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังคาดว่าจะเริ่มดีขึ้น ซึ่งนับจากนี้ประเทศไทยจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้ต่างประเทศได้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นด้วยการดำเนินนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐที่กล่าวไว้ด้วยความโปร่งใส และทำยังไงไม่ให้ปัญหาคอร์รัปชันกลับมาเหมือนเดิม ซึ่งขณะนี้นักลงทุนต่างประเทศเริ่มทยอยที่้จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น แต่เนื่องจากดัชนีราคาหุ้นอยู่ในช่วงที่สูง อาจรอให้ปรับตัวลงก่อนจึงคาดว่าจะทยอยกลับเข้ามาอย่างชัดเจนมากขึ้น
“คาดการณ์ SET INDEX ปลายปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1,480 จุด ซึ่งเป็นระดับเดิมที่เคยตั้งไว้เมื่อช่วงต้นปี และได้มีการปรับประมาณการลงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยลดลงเหลือ 1,290 จุด เนื่องจากสถานการณ์การเมืองมีความรุนแรง และยืดเยื้อ อย่างไรก็ดี หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เข้ามีบทบาทในการบริหารประเทศ ส่งผลให้ปัญหาทางการเมืองเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น และมีการประกาศแผนเศรษฐกิจออกมามีรูปธรรม ทำให้ความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ และการลงทุนกลับฟื้นตัวขึ้นมา ส่วนแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทย (GDP) ไปอยู่ที่ระดับเดิมคือ 2% หากมีการจัดตั้งรัฐบาลในครึ่งปีหลังนี้ โดยปัจจุบันยังคงคาดการณ์ไว้ที่ 0.8% นอกจากนี้ มองว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะมีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลกลับเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง จากที่สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลาย ประกอบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อย่างประเทศยุโรป และญี่ปุ่นยังคงดำเนินนโยบายอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ และประเทศสหรัฐฯ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0% แม้มาตรการ QE จะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยดังกล่าวจะทำให้เงินทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ เช่น ประเทศจีน และตลาดหุ้นในกลุ่ม AEC เพิ่มมากขึ้น”
อย่างไรก็ดี กลยุทธ์การลงทุนในระยะนี้ เงินลงทุนอาจจะไหลไปลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ มากขึ้น โดยแนะนำหุ้นเด่น คือ KTB, QH และ BBL ซึ่งราคาหุ้นยังไม่สูงเกินไป ขณะที่ควรระมัดระวังการลงทุนในหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม รับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากมีการปรับตัวขึ้นจากที่มีการรับข่าวการเมืองไปพอสมควรแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งมองว่าน่าจะมีแรงเทขายทำกำไรได้