xs
xsm
sm
md
lg

“TAE” เปิดเทรดวันแรกบวกทันที 144.00% จากราคา IPO ที่ 2.00 บาท ตั้งเป้าโตปี 30% ต่อเนื่องทุกปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แรงซื้อ “TAE” กระฉูด เปิดเทรดวันแรกวิ่งขึ้นบวก 144.00% อยู่ที่ระดับ 4.88 บาท จากราคา IPO ที่ 2.00 บาท ณ เวลา 10.00 นาที จากปัจจัยพื้นฐานหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีความต้องการเอทานอลต่อเนื่องระยะยาวทั้งปี พร้อมตั้งเป้าโตปีนี้ต่อเนื่อง 30%

รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งว่า การเข้าซื้อขายบนกระดานของ บมจ.ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่ หรือ TAE ผู้ผลิตและจำหน่ายเอทานอลที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดที่ระดับ 4.88 บาท เพิ่มขึ้น 144.00% จากราคา IPO ที่ 2.00 บาท/หุ้น ในขณะที่ SET INDEX ดัชนีเปิดในแดนบวก โดยเมื่อเวลา 10.02 น. ดัชนีปรับไปที่ระดับ 1,453.73 จุด เพิ่มขึ้น 4.33 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.30% มูลค่าการซื้อขาย 3,021.14 ล้านบาท

นายสมชาย โลห์วิสุทธิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่ หรือ TAE กล่าวว่า จากการเปิดขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไป หรือ IPO ในครั้งนี้ ได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วไปดีเกินกว่าที่คาดหมายไว้ ซึ่งบริษัทฯ ได้สร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนด้วยการยืนยันต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการเข้าซื้อขายหุ้นในช่วงเวลาที่ก่อนที่ คสช.จะประกาศกฎอัยการศึก และรัฐประหาร ซึ่งการนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะนำเงินที่ได้ไปใช้ลงทุนก่อสร้างระบบผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซชีวภาพสำหรับใช้ในโรงงานผลิตเอทานอลของบริษัท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในโรงงานที่ 2 เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต และเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ในธุรกิจโรงงานผลิตเอทานอล ซึ่งโรงงานผลิตเอทานอลขณะนี้มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 50% และสามารรถเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 80% เนื่องจากพลังงานทดแทนในกลุ่มที่แปรรูปจากสินค้าเกษตร ยังมีความต้องการอยู่ในตลาดพลังงานทดแทนเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบัน ตลาดมีความต้องการเอทานอลประมาณ 3 ล้านลิตรต่อวัน และจะเพิ่มขึ้นถึง 5 ล้านลิตรต่อวันในปี 2560

“อยากให้ คสช.เร่งรัดนโยบายพลังงานทดแทนให้มีความชัดเจนต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรมมากที่สุด เนื่องจากปริมาณการใช้เชื้อเพลิงจากสินค้าเกษตรแปรรูปเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่รัฐบาลประกาศยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 91 และจะสามารถควบคุมราคาพลังงานทดแทนในตลาดให้มีราคาที่เหมาะสมได้”

ในขณะที่นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ในปีนี้ ตลท. ยังคงร่วมมือในการทำงานกับบริษัทจดทะเบียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการที่ บมจ.ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี เข้าจดทะเบียนซื้อขายในวันนี้ เป็นการสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุนถึงสถานการณ์ทางการเมือง และเศรษฐกิจที่ทยอยชัดเจนขึ้น โดย บมจ.ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี ได้ประกาศขายหุ้น IPO ไปในช่วงที่การเมืองยังมีความรุนแรง และไม่แน่นอนอย่างมาก และเมื่อเปิดตลาดเข้าเทรดในวันนี้ ได้สะท้อนดัชนีภาพรวมการลงทุนของหุ้น IPO ได้เป็นอย่างดี ซึ่งบริษัทฯ ประกอบธุรกิจโรงงานการผลิตเอทานอลเจ้าแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สามารถสร้างหลักประกันต่อสินค้าเกษตรในอนาคตว่าจะมีแหล่งรองรับ

ทั้งนี้ บมจ.ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่ ดำเนินธุรกิจผลิต และจำหน่ายเอทานอลแปลงสภาพ ที่นำไปใช้ผสมกับน้ำมันเบนซินตามอัตราส่วน เพื่อให้ได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ทดแทนการใช้น้ำมันเบนซิน โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงรายใหญ่ของประเทศ ได้แก่ บมจ.ปตท. บมจ.บางจากปิโตรเลียม และ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม บมจ.ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี มีทุนชำระแล้ว 1,000 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญเดิม 800 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 200 ล้านหุ้น โดยนำหุ้นจำนวน 296.04 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้ถือหุ้นของ LANNA 105.04 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 21-23 พฤษภาคม 2557 และเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) 191 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2557 ในราคาหุ้นละ 2 บาท มีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย โดยหลังการซื้อขายหุ้น IPO สัดส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บมจ.ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี  3 ลำดับแรก ได้แก่ LANNA ถือหุ้น 51% กลุ่มศิริรังษีถือหุ้น 5% บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) ถือหุ้น 4.72% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้ คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 16.67 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิปี 2556 หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท หลังจากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.12 บาท ทั้งนี้ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 60% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินของบริษัท ในแต่ละปีหลังจากหักขาดทุนสะสมยกมา (ถ้ามี) และการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย


กำลังโหลดความคิดเห็น