“ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่” พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 5 มิถุนายนนี้
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัท ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TAE จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 57 ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 2,000 ล้านบาท โดย TAE เป็นบริษัทย่อยของ บมจ.ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนที่เล็งเห็นศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจพลังงานทดแทนจึงนำ TAE เข้าจดทะเบียน (Spin off) เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน
ทั้งนี้ TAE ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอลแปลงสภาพ ที่นำไปใช้ผสมกับน้ำมันเบนซินตามอัตราส่วน เพื่อให้ได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ทดแทนการใช้น้ำมันเบนซิน โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงรายใหญ่ของประเทศ ได้แก่ บมจ.ปตท. บมจ.บางจากปิโตรเลียม บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) เป็นต้น
ทั้งนี้ TAE มีทุนชำระแล้ว 1,000 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญเดิม 800 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 200 ล้านหุ้น โดยนำหุ้น จำนวน 296.04 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้ถือหุ้นของ LANNA 105.04 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 21-23 พฤษภาคม 57 และเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) 191 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 28-30 พฤษภาคม 57 ในราคาหุ้นละ 2 บาท มีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายสมชาย โล่ห์วิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TAE เปิดเผยว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนโดยจะนำเงินที่ได้ไปใช้ลงทุนก่อสร้างระบบผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซชีวภาพสำหรับใช้ในโรงงานผลิตเอทานอลของบริษัท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต
หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TAE 3 ลำดับแรก ได้แก่ LANNA ถือหุ้น 51% กลุ่มศิริรังษีถือหุ้น 5% บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) ถือหุ้น 4.72% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้ คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 16.67 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิปี 2556 หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท หลังจากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.12 บาท ทั้งนี้ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 60% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินของบริษัท ในแต่ละปีหลังจากหักขาดทุนสะสมยกมา (ถ้ามี) และการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย