ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยอมรับเข้มงวดปล่อยสินเชื่อใหม่มากขึ้น ห่วงเอ็นพีแอลเพิ่ม หลังเศรษฐกิจชะลอตัวจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ขณะที่ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น และเริ่มชินต่อเรื่องดังกล่าวแล้ว
นายฟิลิป แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจากปัญหาการเมือง ทำให้การขยายตัวของสินเชื่อธนาคารลดลง รวมทั้งขีดความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าอยู่ในภาวะตึงตัวมากขึ้น ดังนั้น ธนาคารจึงเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อใหม่มากขึ้น เพื่อไม่ให้ระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) สูงขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ซึ่งร้อยละ 50 เป็นกลุ่มเอสเอ็มอี
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเอ็นพีแอลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก หากปัญหาการเมืองยืดเยื้อ ดังนั้น จึงหวังว่าปัญหาการเมืองจะจบลงโดยเร็ว ซึ่งหากความเชื่อมั่นกลับมาเร็ว การปล่อยสินเชื่อก็จะกลับมาขยายตัวได้เร็วเช่นกัน โดยคาดว่าสินเชื่อของธนาคารปีนี้จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.5-5 ภายใต้สมมติฐานที่จีดีพีประเทศขยายตัวร้อยละ 1.5
ทั้งนี้ ปีนี้ธนาคารจะมุ่งพัฒนาช่องทางการทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค และขยายโอกาสให้แก่ธุรกิจลอจิสติกส์ และธุรกิจขายตรง จึงเปิดตัวบริการแอปพลิเคชัน “กรุงศรี ควิกเพย์” โดยบริการดังกล่าวจะเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันของร้านค้า ซึ่งผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ และความคืบหน้าการให้บริการของพนักงานได้ รวมทั้งยังสามารถชำระเงินเมื่อได้รับสินค้าตรงกับที่สั่งซื้อ จากเดิมต้องชำระเงินก่อน ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจมากขึ้น โดยรองรับทั้งบัตรเครดิต และบัตรเดบิตของทุกธนาคาร
จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ใช้บริการโมบายเพย์เมนท์ 969,977 ราย เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 22 ต่อปี คิดเป็นมูลค่า 53,000 ล้านบาท ซึ่งการให้บริการควิกเพย์ของธนาคารกรุงศรีฯ ปี 2557 จะเน้นธุรกิจลอจิสติกส์ และธุรกิจขายตรง เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป หันมาใช้สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตในการซื้อสินค้าออนไลน์ และชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือมากขึ้น
ด้านนายอิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า จากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว และปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทำให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลต่อธุรกิจขายตรงแต่ไม่มาก เนื่องจากประชาชนรู้สึกชินต่อเหตุการณ์ดังกล่าว