“แสนสิริฯ” แจงไตรมาส 1 ปี 57 มีกำไรพิเศษขายอาคารสิริภิญโญฯ และขายที่ดินรวม 2 รายการ กำไรกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้หลักจากการขายโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโดฯ ลดลงร้อยละ 15 ส่วนตัวเลขค่าใช้จ่ายในการขายและบริการลดลงจากร้อยละ 32.1 เหลือร้อยละ 25.1 ปัจจัยหลักไตรมาส 1 เปิดแค่ 2 โครงการใหม่ เทียบกับ 17 โครงการ ปัญหาหลักพิษการเมือง พร้อมโชว์กำไรสุทธิพลิกขาดทุนเป็นกำไร 830 ล้านบาท
นายวันจักร์ บุรณศิริ กรรมการผู้รับมอบอำนาจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ขอชี้แจงผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยสำหรับงวดสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.57 โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 57 มีรายรับรวมทั้งสิ้น 5,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากจํานวน 5,180 ล้านบาทของไตรมาส 1 ปี 56 เป็นผลมาจากการเพิ่มขนของรายได้อื่น ประกอบด้วย 2 รายการหลัก กล่าวคือ กําไรจากการขายทรัพย์สิน ซึ่งประกอบด้วยที่ดิน อาคารสํานกงานสิริภิญโญ ระบบสาธารณปโภค และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการประกอบกิจการอาคารสํานักงานดังกล่าว จำนวน จํานวน 768 ล้านบาท และกําไรจากการขายที่ดิน จํานวน 304 ล้านบาท รวม 2 รายการ จะมีกำไรประมาณ 1,072 ล้านบาท
ในขณะที่รายได้จากการขายโครงการที่ยังคงเป็นรายได้หลักของแสนสิริ มีจํานวนลดลงที่ร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 56 สําหรับกําไรสุทธิของในไตรมาสนี้ มีจำนวน 830 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 86 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขนของรายได้รวม และการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน
รายได้จากการขายลดลงทุกตัว
สำหรับรายได้จากโครงการเพื่อขายในไตรมาสที่ 1ปี 57 ลดลงที่ร้อยละ 15 โดยรายได้ลดลงจากทุกประเภทผลิตภัณฑ์ กล่าวคือ ในไตรมาสนี้ แสนสิริฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยว ร้อยละ 46 จํานวน 1,923 ล้านบาท รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม ร้อยละ 45 จํานวน 1,882 ล้านบาท และรายได้จากโครงการทาวน์เฮาส์ ร้อยละ 8 จํานวน 347 ล้านบาท
สําหรับรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยวปรับลดลงที่ร้อยละ 8 จากจํานวน 2,096 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี 56 มาอยู่ที่ จำนวน 1,923 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1ปี 57 โดยรายได้หลักของโครงการบ้านเดี่ยวมาจาก 4 โครงการ ซึ่งมีรายรับรวมจาก 4 โครงการ จำนวน 709 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17 ของรายได้จากโครงการเพื่อขายทั้งหมด
รายได้จากการขายโครงการทาวน์เฮาส์ลดลงจาก จํานวน 479 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี 56 มาอย่ทูี่ 347 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี 57 โดยรายได้หลักของโครงการทาวน์เฮาส์ มาจาก 3 โครงการ ซึ่งมีรายรับรวมอยู่ที่ 151 ล้านบาท
ในส่วนของรายได้จากการขายโครงการคอนโดฯ ลดลงร้อยละ 18 จาก จํานวน 2,298 ล้านบาท มาอย่ที่ จํานวน 1,882 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี 57 โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากโครงการในต่างจังหวัดที่อยู่ใน จ.ภูเก็ต และ อ.หัวหิน มีรายรับรวม 2 พื้นที่ จำนวน 1,180 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28
ผู้เช่า สนง.ลด-หยุดกิจการเมดิคัลสปา
สําหรับรายได้จากโครงการเพื่อเช่าเท่ากับ 22 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 56 จากจํานวน 39 ล้านบาท เป็นผลมาจากจํานวนผู้เช่าของอาคารสิริภิญโญลดลง ในขณะที่รายรับค่าบริการธุรกิจในไตรมาสที่ 1 ปี 57 มีจํานวน 125 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ รายได้ค่าบริการอื่น ประกอบด้วย รายได้จากธุรกิจเมดิคัลสปา รายได้จากธุรกิจโรงแรม และรายได้จากธุรกิจโรงเรียนในไตรมาสที่ 1ปี 57 รวมจํานวน 56 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 23 จากจํานวน 73 ล้านบาท ปัจจยหลักมาจากการลดลงของรายได้จากกิจการเมดิคัลสปา เนื่องจากสัญญาเช่าของอาคารภักดีได้หมดสัญญา ส่งผลให้กิจการเมดิคัลสปาได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 56 เป็นต้นมา
ในส่วนของต้นทุนโครงการเพื่อขายเท่ากับ 2,763 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 ตามการลดลงของรายได้จากการขายโครงการ แต่อัตรากำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 33.45 จากร้อยละ 32.01 เป็นผลมาจากการขายคอนโดฯ ที่อยู่ในระดับสูง
เจอพิษการเมือง Q1 เปิดแค่ 2 โครงการ
ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารเท่ากับ 1,379 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.1 ของรายได้รวม ลดลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 32.1 ในไตรมาสเดียวกันของปี 56 สําหรับค่าใช้จ่ายในการขายในไตรมาสที่ 1 ปี 57 จํานวน 594 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.8 ของรายได้รวม ปรับลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับจำนวน 1,006 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.4 ของรายได้รวม สาเหตุมาจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองยังคงยืดเยื้อ ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวม และกระทบต่อความเชื่อมั่นลูกค้า ทำให้แสนสิริต้องตัดสินใจชะลอการลงทุน ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 57 แสนสิริ เปิดตัวโครงการใหม่เพียง 2 โครงการ เทียบกับ 17 โครงการในไตรมาส 1 ปี 56 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการขาย และการตลาดลดลงอย่างมาก
กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 830 ล้าน
สำหรับกำไรสุทธิในไตรมาสนี้ เท่ากับ 830 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิ 86 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 15.1 ของรายได้รวม ปัจจยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้รวม ซึ่งเป็นผลมาจากกําไรจากการขายทรัพย์สิน ประกอบกับการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน ที่ลดลงร้อยละ 17 ทั้งนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีสินทรัพย์รวม 65,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 5,665 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธ.ค.56 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนโครงการพัฒนาอสังหาฯ เพื่อขายจำนวน 6,268 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และเตรียมส่งมอบให้ลูกค้าตามสัญญาเป็นจำนวนมาก สงผลให้สินทรัพย์หมุนเวียนมีจำนวน 59,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 6,319 ล้านบาท
หนี้สินยังอยู่ในระดับที่สูง
หนี้สินรวม ณ วันที่ 31 มี.ค.57 มีจำนวน 47,774 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 4,801 ล้านบาท ทั้งนี้ สิ้นไตรมาส 1 ปี 57 มีหนี้สินเฉพาะส่วนที่มีดอกเบี้ย 38,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 34,669 ล้านบาท ณ 31 ธ.ค.56
โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 2.66 เท่า และหนี้สินเฉพาะส่วนที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 2.14 เท่า ทั้งนี้ บริษัทยังคงสามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินได้ตามที่กําหนดไว้กรณีที่ออกตราสารหนี้ ที่ให้อัตราส่วนหนี้เฉพาะส่วนที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่เกินกว่า 2.5 ต่อ 1
อัตราส่วนสภาพคล่องลดลง
ขณะที่อัตราส่วนของสภาพคล่องเท่ากับ 2.52 เท่า ลดลงจาก 2.73 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์หมุนเวียนที่ร้อยละ 12 จากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนโครงการอสังหาฯ เพื่อขายสุทธิจากจํานวน 45,621 ล้านบาท เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่จำนวน 51,889 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 57