ธปท. ห่วงหนี้บัตรเครดิตพุ่งสูงกว่า 30% ยอมรับอาการน่าเป็นห่วงลูกหนี้ต้องทยอยชำระขั้นต่ำ ด้านประธานชมรมหนี้ฯ แฉผู้ประกอบการบางรายใช้วิธีข่มขู่ลูกค้า โขกดอกเบี้ยโหด พร้อมวอน ธปท. ต้องเข้มงวดในการคิดดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมเพื่อลดความเดือดร้อนของผู้บริโภค
นางธัญทิพย์ สรรพโชติวัฒน์ ผู้บริหารทีมธรรมาภิบาลสถาบันการเงิน ฝ่ายนโยบายความเสี่ยง สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงานสัมมนา “การควบคุมกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค” จัดโดยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยระบุว่า ปัจจุบัน ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจบัตรเครดิต ยังค้างอยู่ในสภา เพราะเกิดสุญญากาศทางการเมือง จึงไม่มีกฎหมายออกมาควบคุมการใช้บัตรเครดิต
ดังนั้น เพื่อเป็นการดูแลลูกหนี้ให้ได้รับความเป็นธรรม จึงได้เสนอในร่างกฎหมายใหม่ต้องคิดอัตราดอกเงินกู้จากยอดเงินที่ค้างอยู่ ไม่ใช่คิดดอกเบี้ยจากยอดเงินต้นทั้งหมด เพราะปัจจุบันเมื่อใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้า เมื่อครบกำหนดชำระ ผู้ซื้อชำระเงินเพียงบางส่วน แต่บริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะคิดดอกเบี้ยจากยอดเงินกู้ทั้งหมดไม่ได้คิดจากยอดเงินที่เหลือ รวมทั้งการแย่งทำตลาดของธุรกิจบัตรเครดิต จนทำให้คนหนึ่งคนมีบัตรเครดิตหลายใบ มีทั้งจ่ายเต็มยอดหนี้และผ่อนจึงเกิดปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนสูงมาก
นอกจากนี้ ยังเสนอให้กำหนดการถือครองบัตรเครดิตไม่เกิน 3 ใบ เพราะการใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าพบว่า 70% ของการใช้บัตรจ่ายเงินคืนเต็มจำนวน ส่วนอีก 30% ยอมผ่อนชำระ 10% ของวงเงิน ยอมรับว่าเป็นห่วงยอดผ่อนชำระเพราะจะใช้แนวทางหมุนเงินหลายใบจนเกิดปัญหาจึงต้องดูแลในกลุ่มผ่อนชำระไม่ให้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล )
“ยอมรับว่าหนี้เสียมีอยู่จริงทำให้เป็นห่วงเรื่องของหนี้ครัวเรือนที่เกิดจากบัตรเครดิตมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้คุยกับคณะกรรมาธิการบ้างแล้วว่าเราจะแก้ไขโดยวิธีการตัดตอนเลยไหม อนุมัติบัตรเครดิตให้แค่ 3 ใบต่อคน แต่จากที่คุยบางท่านก็ยังเป็นกังวลถึงปัญหาด้านธุรกิจของผู้บริโภคที่บางรายจำเป็นต้องใช้หลายใบเพื่อหมุนวงเงิน ซึ่งอาจจะต้องเข้าไปคุยกับผู้บริโภคในเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนมากขึ้น” นางธัญทิพย์ กล่าว
ปัจจุบัน พบว่ายอดหนี้บัตรเครดิตของระบบของไทย ไตรมาสแรกปี 57 มีประมาณ 268,907 ล้านบาท มีจำนวนบัญชี 18.93 ล้านบัญชี ในช่วงที่ผ่านมา มีข้อร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก จากความเดือดร้อนอัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตมีอัตราสูงวิธีการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตไม่เป็นธรรม อัตราแลกเปลี่ยนจากการใช้บัตรเครดิตในต่างประเทศมีอัตราสูง การคิดค่าติดตามทวงถามหนี้แพง วิธีการทวงถามหนี้ไม่เป็นธรรม โดยมีการข่มขู่
ด้านนายชูชาติ บุญยงยศ ประธานชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล กล่าวว่า ขณะนี้พบว่าชาวบ้านที่ใช้บัตรเฟิร์สช้อยท์ หากนำบัตรเครดิตไปกดเงินในตู้เอทีเอ็มจะเสียอัตราดอกเบี้ย 28% ขณะที่ประกาศของ ธปท.กำหนดให้ใช้บัตรเครดิตกดเงินสดคิดอัตราดอกเบี้ย 20% ดังนั้นเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ลูกหนี้จึงเสนอ ธปท. ออกประกาศดูแลลูกค้าบัตรเครดิต ด้วยการดึงไฟแนนซ์ลีสซิ่งเข้ามากำกับดูแลโดย ธปท. เพราะปัจจุบันยังคิดดอกเบี้ยแบบคงที่
นอกจากนี้ ยังต้องการให้ ธปท.บังคับใช้การคิดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต สำหรับผู้เลือกผ่อนชำระ เพราะประกาศของ ธปท.กำหนดให้คิดดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าทวงถามหนี้ ห้ามเกิน 20% ผู้ให้บริการบัตรเครดิตคิดดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม สูงเกินกว่าประกาศ และไม่ได้มีการลงโทษแต่อย่างใด
นอกจากนี้ การคิดดอกเบี้ยบวกค่าธรรมเนียมของบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลมีความแตกต่างกัน เพราะบัตรเครดิตคิดดอกเบี้ยบวกค่าธรรมเนียม 20% ส่วนสินเชื่อบุคคล 28% เพราะกฎหมายกำหนดคิดดอกเบี้ยบวกค่าธรรมไม่เกิน 20% หมายถึงดอกเบี้ย 15% ค่าธรรมเนียม 5% ส่วนสินเชื่อบุคคลคิดดอกเบี้ย 15% ค่าธรรมเนียม 13% เมื่อเป็นการกู้เงินเหมือนกันทำไมคิดค่าธรรมเนียมต่างกัน
ขณะเดียวกัน ก็ยังพบว่าได้นำเอาค่าทวงถามหนี้มารวมในยอดเงินกู้ และคิดดอกเบี้ยเพิ่มไปอีกต่อหนึ่ง โดยการกระทำผิดทุกอย่างของผู้ให้บริการบัตรเครดิตกลับไม่มีบทลงโทษ ดังนั้น เมื่อร่างกฎหมายใหม่ยังไม่ออกมา เพราะไม่มีสภาพิจารณากฎหมาย จึงเสนอให้ ธปท.ออกประกาศเพื่อเพิ่มบทลงโทษให้ชัดเจน และควรควบคุมดูแลการทำบัตรเครดิตบัตรเสริมให้แก่บุตรหลาน แต่เมื่อเกิดปัญหาหนี้เสียผู้ปกครองไม่ชำระหนี้ได้ต้องมีฟ้องเด็กแทนนับว่าเป็นเรื่องไม่เป็นธรรม