ส.ส.กทม.ปชป.เผยร่าง พ.ร.บ.บัตรเครดิตถูกเลื่อนพิจารณาวาระ 3 พยายามให้ กม.แท้ง หวั่นเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยที่เอาเปรียบ ปชช. ที่จะปรับลดกำไรผู้ประกอบการ แฉ รมว.คลัง ส่ง จม.ให้วิปรัฐเลื่อนร่างออก อัดแทรกแซงสภา เอื้อประโยชน์ผู้ประกอบการมากกว่าผลประโยชน์ ปชช.
วันนี้ (21 พ.ย.) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กรุงเทพฯ ประชาธิปัตย์ ฐานะรองกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ.... เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการฯได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวแล้วเสร็จมานานแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาในวาระ 2 และ 3 แต่ที่ผ่านมามีความพยายามเลื่อนการพิจารณาร่างนี้มาแล้ว 3 ครั้ง และมีความพยายามจะทำให้กฎหมายฉบับนี้แท้งไป เพราะสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจัดเก็บกับผู้ใช้บริการบัตรเครดิต ซึ่งปัจจุบันจะมีการคิดอัตราดอกเบี้ยในลักษณะเอาเปรียบกับประชาชน โดยคิดในอัตราเต็มจำนวนยอดเงินแม้จะมีการผ่อนจ่ายไปบางส่วนแล้วก็ตาม แต่กฎหมายฉบับนี้จะบังคับให้ผู้ประกอบการบัตรเครดิตคิดดอกเบี้ยได้เฉพาะยอดเงินคงค้างในสิ้นปีเท่านั้น ซึ่งในชั้นกรรมาธิการทุกคนมีความเห็นตรงกันกับการมีกฎหมายฉบับนี้ เพราะเป็นประโยชน์กับส่วนรวม
นายอรรถวิชช์กล่าวว่า แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้ส่งจดหมายมายังนายอำนวย คลังผา ประธานวิปรัฐบาลขอให้เลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกไป โดยอ้างว่ากระทรวงการคลังต้องดำเนินการศึกษาถึงแนวทางการปฏิบัติของการออกหลักเกณฑ์การตรวจสอบและการสั่งการเพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตแก้ไขและดำเนินงานและเพื่อให้การดำเนินการระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นไปอย่างประสิทธิภาพ สอดคล้องกัน นอกจากนี้ยังมีการกำหนดวิธีการการคำนวณดอกเบี้ยที่แตกต่างไปจากวิธีการปฏิบัติสากลของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตทั่วโลก จึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาเพิ่มเติมถึงความเป็นไปได้ ในทางปฏิบัติและผลกระทบที่มีต่อประชาชนและภาคธุรกิจของประเทศโดยรวม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาประเด็นต่างๆที่มีการแก้ไขโดยกรรมาธิการวิสามัญอย่างรอบคอบ เพื่อให้การดำเนินการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตสามารถปฏิบัติได้จริงและมีประสิทธิภาพ จึงขอให้วิปรัฐบาลเลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ออกไปก่อน โดยจะแจ้งวันและเวลาต่อไป
“ปกติการพิจารณาหมายจะต้องมีการเสนอในระหว่างพิจารณาเพื่อให้มีการแก้ไขตามมาตรา เพราะกฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาไปแล้ว ฝ่ายบริหารไม่มีสิทธิ์ยับยั้งกฎหมายโดยใช้มือวิปรัฐบาล จะต้องให้มีการประชุมในวาระ 2 และ 3 ในสภา และให้สมาชิกทำการโหวตกันเอง แต่นายกิตติรัตน์มาเสนอด้วยตนเองต่อที่ประชุมเพราะรู้ว่าจะต้องถูกซักถามและตอบไม่ได้ การกระทำของนายกิตติรัตน์พยายามคุ้มครองประโยชน์ของบริษัทประกอบธุรกิจบัตรเครดิตมากกว่าประโยชน์ประชาชนทั่ว และถือเป็นการแทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติของฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติก็ปิดหูปิดตาลักหลับตามไปด้วย นี่คือเบื้องหลังว่าทำไมวิปรัฐบาลถึงพยายามเสนอเลื่อนกฎหมายฉบับอื่นขึ้นมาพิจารณาแทนถึง 3 ครั้ง จึงเชื่อว่าเจตนาของนายกิตติรัตน์ตั้งใจจะให้ร่างกฎหมายฉบับนี้แท้งไปในที่สุดตามความต้องการผู้ประกอบการบัตรเครดิตที่เชื่อว่ามีการล็อบบี้กันก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ในการประชุมสภาครั้งหน้าเราจะเสนอให้เลื่อนเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง” นายอรรถวิชช์กล่าว