“วีรพงษ์” หวั่นเศรษฐกิจอาจพังหากทางออกการเมืองยังตัน ฉุดเศรษฐกิจซึมยาว 2-3 ปี และโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแข็งแรงคงเป็นไปได้ยาก เพราะทางตันทางการเมืองไม่หมดลงง่ายๆ ซึ่งคงจะต้องหวังพึ่งแต่เพียงปาฏิหาริย์เท่านั้น ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นอาจจะเป็นไปได้ที่ทุกฝ่ายมองเห็นหายนะของตัวเอง ก็จะกลับมาปรองดองกันก็ได้
นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “สร้างโอกาสการลงทุนขับเคลื่อนไทยสู่อนาคต” โดยระบุว่า ปัญหาการเมืองภายในประเทศ การแตกแยกทางความคิดระหว่างคนไทยด้วยกันยังคงไม่จบลงง่ายๆ โดยสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงยืดเยื้อ ทำให้ขวัญกำลังใจของผู้บริโภค นักลงทุนทั้งไทย และต่างประเทศลดน้อยลง ซึ่งคาดว่าการเมืองที่ถึงทางตันกดดันให้เศรษฐกิจไทยซึมลงต่อเนื่องอีก 2-3 ปี และโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแข็งแรงคงเป็นไปได้ยาก เพราะทางตันทางการเมืองไม่หมดลงง่ายๆ ซึ่งคงจะต้องหวังพึ่งแต่เพียงปาฏิหาริย์เท่านั้น หากเศรษฐกิจซึมลงต่อเนื่องโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะพังลงก็เป็นไปได้เป็นสัญญาณอันตราย ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นอาจจะเป็นไปได้ที่ทุกฝ่ายมองเห็นหายนะของตัวเองก็จะกลับมาปรองดองกันก็ได้
นายวีรพงษ์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เห็นสัญญาณของเศรษฐกิจแย่ลง อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไตรมาส 1 ติดลบ และมีโอกาสที่จีดีพีไตรมาส 2 จะติดลบต่อเนื่อง การลงทุนภาครัฐทำไม่ได้ ขณะที่ภาคเอกชนไม่ลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมีขีดจำกัด เพราะติดปัญหาทางการเมือง ซึ่งหากประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันได้ในอนาคตก็จะอยู่ไม่ได้ในยุคโลกาภิวัตน์
นายวีรพงษ์ กล่าวว่า ปัญหาการเมืองยังไม่มีทางออก ทั้งแนวคิดการเสนอนายกรัฐมนตรีคนกลาง ซึ่งไม่มีคนกลางอย่างแท้จริง การปฏิวัติรัฐประหารก็จะยิ่งสร้างความยุ่งยาก หรือการเลือกตั้งก็คงจะถูกขัดขวางไม่ให้มีการจัดการเลือกตั้งภายในวันเดียวได้ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะทั้งสองฝ่ายต่างมีความระมัดระวังไม่ให้มีการปะทะกัน เพื่อป้องกันข้ออ้างในการปฏิวัติ
นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสติดลบ หากยังไม่มีรัฐบาลใหม่เร็วๆ นี้ เพราะจะมีผลกระทบต่อการจัดทำงบประมาณปี 2558 ปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อ เปรียบเหมือนเลือดไหลไม่หยุด โดยบริษัทขนาดกลาง และเล็กกำลังขาดสภาพคล่อง ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ไปกินส่วนแบ่งตลาดของเอสเอ็มอีมากขึ้น และจะมีผลกระทบต่อการจ้างงาน การเลิกจ้างจะมากขึ้น เพราะเอสเอ็มอีเป็นภาคธุรกิจที่มีการจ้างงานจำนวนมาก
ด้าน นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย หรือทีเอ็มบี และประธานสมาคมธนาคารไทย ระบุว่า หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในปีนี้ เศรษฐกิจจะเติบโตได้ร้อยละ 2-2.2 แต่หากไม่มีรัฐบาลเศรษฐกิจจะเติบโตร้อยละ 1.5-1.6 แต่เชื่อว่าแม้จะเศรษฐกิจจะชะลอลง ก็จะไม่รุนแรงเท่ากับวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540
“การที่ไม่มีรัฐบาลเดินทางอนุมัติงบประมาณลงทุนต่างๆ ของรัฐบาล ส่งผลกระทบภาคเอกชนไม่มีความเชื่อมั่นใจการลงทุน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่สามารถค้าขายได้” นายบุญทักษ์ กล่าว