เผยตลาดก่อสร้างไตรมาสแรก 57 ยังขยายตัว CCP-DRT-RCI ยันรายได้ยังขยายตัวดี แต่กำไรสุทธิหดตัวถ้วนหน้า เหตุต้นทุนแรงงาน เชื้อเพลิง และค่าบริหารจัดการขยับ เชื่อไตรมาส 2 ตลาดยังทรงตัว การเมืองยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาด กำลังซื้อ ด้านผู้ประกอบการเบนเข็มเจาะต่างจังหวัดเชื่อผลกระทบการเมืองน้อย
นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 57 บริษัทมีรายได้รวม 741.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า 112.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17.88% โดยไตรมาสแรกของปี 56 บริษัทมีรายได้รวมที่ 629.11 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 67.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.09 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 41.11 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 63.46%
“ในปี 2557 นี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้เติบโต 10% จากปีที่แล้ว โดย ณ ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) 1,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 60% ส่วนที่เหลืออีก 40% จะรับรู้ในปี 58 อย่างไรก็ตาม แม้ว่างานก่อสร้างขนาดใหญ่จากรัฐบาลจะชะลอตัวออกไป แต่ในส่วนของงานก่อสร้างของราชการท้องถิ่นยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจึงเน้นรับงานของส่วนราชการท้องถิ่น รวมถึงงานก่อสร้างภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น”
ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ บริษัทเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) ที่มีคุณสมบัติช่วยให้งานเสร็จเร็ว และใช้แรงงานน้อย เนื่องจากปัจจุบันภาคการก่อสร้างประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ต้องการสินค้าเร็ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขายในปีนี้ให้โตขึ้นต่อเนื่อง ส่วนปัญหาการเมืองที่ส่งผลกระทบตลาดก่อสร้างในขณะนี้ เชื่อว่าหากในครึ่งปีหลังสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย ก็จะทำให้งานของภาครัฐบาล และเอกชน กลับมาขยายตัว และทำให้บริษัทมีงานเพิ่มขึ้น
ด้านนายอัศนี ชันทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT กล่าวว่า ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา DRT มีรายได้รวม 1,152 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ 119.6 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 22.8% อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่ารายได้ที่เกิดขึ้นมาจากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์จะทำให้ในปีนี้บริษัทจะมีรายได้รวมขยายตัวได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ จากการสำรวจกลุ่มลูกค้าพบว่า ยอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ และกลุ่มลูกค้าโครงการมียอดขายเติบโตที่ต่อเนื่อง แต่สาเหตุที่กำไรสุทธิในไตรมาสนี้ปรับตัวลดลงนั้น มีสาเหตุจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงของกระเบื้องหลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์ และผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่เป็นเกษตรกรมีกำลังซื้อลดลงจากราคาพืชผลการเกษตรที่ตกต่ำ
สำหรับไตรมาส 2 นี้ DRT คาดว่าปัจจัยทางการเมืองยังมีผลกระทบทางลบต่อตลาดวัสดุก่อสร้างโดยรวม ทำให้บริษัทยังเน้นการขายในตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการค้าขายใกล้ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะยังมีกำลังซื้อที่ดี รวมทั้งเน้นการส่งออกที่มียอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนตลาดซ่อมแซม และปรับปรุงบ้านในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ จะยังเน้นการขายผ่านกลุ่มห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ยังมีทิศทางขยายตัวที่ดี
“บริษัทมีมุมมองต่อตลาดวัสดุก่อสร้างในไตรมาส 2 ในทิศทางที่แกว่งตัว เนื่องจากปัจจัยการเมืองที่ยังไม่แน่นอน เราจึงทำรายการส่งเสริมการขาย และทำภาพยนตร์โฆษณาเพื่อสื่อสารไปยังลูกค้า โดยมีเป้าหมายที่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าให้เร็วขึ้น ซึ่งเชื่อว่าแนวทางดังกล่าวจะทำให้เราสามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้” นายสาธิต กล่าวทิ้งท้าย
นายสมบูรณ์ อุรานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ RCI กล่าวว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 265 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 56 กว่า 2.7% หรือเพิ่มขึ้น 7 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงานไตรมาสแรกอยู่ที่ 5.3 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 25.5 ล้านบาท
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง เนื่องมาจากต้นทุนการขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 13.9 ล้านบาท โดยเฉพาะค่าแรงงานขั้นต่ำซึ่งปรับตัวขึ้นกว่า 11.5 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ค่าแก๊สธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทุนเชื้อเพลิงหลักในการผลิตปรับราคาขึ้น ทำให้ต้นทุนดังกล่าวปรับตัวขึ้น 2.4 ล้านบาท นอกจากนี้ ต้นทุนค่าแรงงานยังส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารการขายเพิ่มขึ้น0.6ล้านบาทด้วย
“ปัญหาการปรับค่าแรงงานไม่ได้ส่งผลต่อต้นทุนขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อต้นทุนการบริหาร ซึ่งทำให้ต้นทุนขยับขึ้นกว่า 5.6 ล้านบาท รวมถึงค่าที่ปรึกษา และค่าธรรมเนียนการบริหารต่างๆ ก็ยังปรับขึ้นพ้อมๆ กันกว่า 0.5 ล้านบาท นอกจากนี้ การหยุดเดินสายการผลิตเพื่อซ่อมบำรุงเครื่องจักรยังทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น 5.1 ล้านบาท ทำให้ในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 25.5 ล้านบาท”