บมจ.เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น หรือ KTIS ผู้ผลิตน้ำตาลทรายลำดับที่ 3 ของประเทศ พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 28 เม.ย.นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO เท่ากับ 38,600 ล้านบาท
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ.เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น หรือ KTIS จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2557 โดย KTIS ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายและธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เช่น ธุรกิจเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย ธุรกิจเอทานอล และธุรกิจผลิตไฟฟ้า
KTIS มีทุนชำระแล้ว 3,860 ล้านบาท มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 3,274.57 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 585.43 ล้านหุ้น โดยบริษัทเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 957.83 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท โดยมีมูลค่าระดมทุนทั้งสิ้น 5,854.27 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21- 23 เมษายน 2557 โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซิมิโก้ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายร่วม
นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฯ KTIS เปิดเผยว่า การที่บริษัทฯ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ ชื่อเสียง ความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุน และเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจให้แก่บริษัทฯ โดยจะนำเงินระดมทุนไปลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อยอีก 2 แห่ง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า 100 เมกะวัตต์ โครงการผลิตน้ำเชื่อม และโครงการผลิตน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ การสร้างโรงงานปุ๋ยชีวภาพ และส่วนหนึ่งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ KTIS 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มครอบครัวศิริวิริยะกุล ถือหุ้น 68.47% บริษัท 3 เอส โฮลดิ้ง จำกัด (บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น และคุณหทัย ศิริวิริยะกุล) ถือหุ้น 7.55% และ Aushores Trust (Singapore) Pte. Ltd. (ATO Zenith Asia Fund) ถือหุ้น 3.32% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 10 บาทต่อหุ้น พิจารณาจากการกำหนดราคาแบบราคาเดียว คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E ratio) ที่ 30.54 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิปี 2556 หารด้วยจํานวนหุ้นสามัญภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ (Fully Diluted) ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักสำรองตามข้อบังคับและตามกฎหมาย