xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่ม KTIS เดินสายโรดโชว์รายย่อยพร้อมเข้าเทรดในตลาดหุ้น SET

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กลุ่ม KTIS พร้อมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินสายโรดโชว์หุ้นให้รายย่อยกรุงเทพฯ และนครสวรรค์ 3-4 เมษายนศกนี้ ประกาศศักดาผู้นำธุรกิจน้ำตาลทรายที่มีกำลังการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก 55,000 ตันอ้อยต่อวัน โชว์ศักยภาพธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร ทั้งธุรกิจเอทานอล ธุรกิจเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย ธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล และธุรกิจปุ๋ยชีวภาพ

นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะจัดให้มีการโรดโชว์แนะนำหุ้น KTIS ให้แก่นักลงทุนรายย่อยในกรุงเทพมหานคร และนครสวรรค์ ในวันที่ 3-4 เมษายนศกนี้ โดยวันที่ 3 เมษายน จะจัดที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ และวันที่ 4 เมษายน จะจัดที่มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา จ.นครสวรรค์ พร้อมตั้งบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีบริษัทหลักทรัพย์ เคที-ซีมิโก้ จำกัด เป็นผู้นำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งสิ้น 957,827,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 24.64 ของทุนจดทะเบียนของบริษัท ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 3,888,000 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 3,274,573,000 บาท ราคาพาร์ของหุ้นอยู่ที่ 1 บาท

วัตถุประสงค์การเสนอขายหุ้นของบริษัทฯ เพื่อขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาลของบริษัทฯ ลงทุนสร้างโรงงานปุ๋ยชีวภาพ 50 ล้านบาท ลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อย 2 แห่งๆ ละ 960 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทฯ โครงการผลิตน้ำเชื่อม (liquid sucrose) และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ (super refined sugar) 980 ล้านบาท ส่วนหนึ่งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รวมถึงการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่กลุ่มผู้ถือหุ้นสิงคโปร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างของกลุ่มบริษัท 2,082.3 ล้านบาท

ปัจจุบัน กลุ่ม KTIS มีโรงงานน้ำตาลทรายรวม 3 แห่ง ได้แก่ โรงงานน้ำตาลเกษตรไทย โรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ และโรงงานน้ำตาลรวมผลฯ ซึ่งโรงงานน้ำตาลเกษตรไทยเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตใหญ่ที่สุดในโลกถึง 55,000 ตันอ้อยต่อวัน และรวมกับโรงงานรวมผลฯ ที่มีกำลังการผลิต 15,000 ตันอ้อยต่อวัน และโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ ที่มีกำลังการผลิต 18,000 ตันอ้อยต่อวัน เท่ากับว่าโรงงานน้ำตาลของบริษัทมีกำลังการผลิต 88,000 ตันอ้อยต่อวัน นอกจากธุรกิจอ้อย และน้ำตาลแล้ว กลุ่ม KTIS ยังดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างครบวงจร ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย ธุรกิจไฟฟ้าชีวมวล และธุรกิจผลิตและจำหน่ายปุ๋ยชีวภาพ เป็นต้น ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมชั้นนำรายใหญ่ เช่น บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด บริษัท คาราบาว ตะวันแดง จำกัด บริษัท แลคตาซอย จำกัด บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า จำกัด บริษัท โอสถสภา จำกัด เป็นต้น สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศนั้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทเทรดดิ้งชั้นนำรายใหญ่ของโลก

“กลุ่ม KTIS มีโครงสร้างรายได้หลักคือ รายได้จากธุรกิจอ้อยและน้ำตาลซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 80 ของรายได้ทั้งหมด และรายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งรายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีกำลังการผลิต 60 เมกะวัตต์ ที่มีการรับรู้รายได้จากการขายไฟเมื่อต้นไตรมาส 4 ของปี 2556 ที่ผ่านมา และเมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว รายได้จากธุรกิจอ้อยและน้ำตาลจะยังคงเป็นรายได้หลัก ขณะที่รายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ทำให้มีผลดีต่อบริษัทคือ ในกรณีที่ราคาน้ำตาลในตลาดโลกสูง รายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องจะเป็นส่วนเสริมให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น ขณะที่ในกรณีที่น้ำตาลในตลาดโลกราคาลดลง รายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เพิ่มขึ้นจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำตาลในตลาดโลกได้ระดับหนึ่ง”

นายประพันธ์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ในปี 2556 ว่า รายได้จากการขาย และบริการ 18,052 ล้านบาท (ไม่รวมรายได้อื่น 787 ล้านบาท) รายได้รวมของกลุ่ม KTIS อยู่ที่ 18,052 ล้านบาท โดยรายได้จากธุรกิจอ้อยและน้ำตาลมีสัดส่วนร้อยละ 80 ของรายได้และรายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของรายได้ แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจเอทานอล ร้อยละ 8.6 รายได้จากธุรกิจเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อยร้อยละ 8.3 และรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลร้อยละ 1.5 และรายได้อื่นๆ ร้อยละ 2.9

อนึ่ง กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) “กลุ่ม KTIS” ก่อตั้งโดยคุณจรูญ และคุณหทัย ศิริวิริยะกุล มีประสบการณ์ในธุรกิจอ้อยและน้ำตาลมานานกว่า 50 ปี ปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาล และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างครบวงจร โดยได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 3,274,573,000 บาท เป็น 3,888,000,000 บาท เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 เพื่อรองรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว จำนวน 3,274,573,000 บาท และในปี 2556 ที่ผ่านมา 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ คือ ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น บริษัทเทรดดิ้งชั้นนำระดับโลก และนิสชิน ชูการ์ ผู้ผลิตน้ำตาลรีไฟน์รายใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น ได้เล็งเห็นศักยภาพของกลุ่ม KTIS และได้ตัดสินใจลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) ในปี 2556 ที่ผ่านมา เพื่อเข้ามาถือหุ้นในกลุ่ม KTIS หลังจากที่หุ้น KTIS เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ทั้งนี้ พันธมิตรทางธุรกิจทั้ง 2 จะนำความรู้ความชำนาญ และประสบการณ์ในการเป็นบริษัทเทรดดิ้งชั้นนำของโลกมาเพื่อขยายตลาดและฐานลูกค้า รวมถึง knowhow ต่างๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มมูลค่า และความหลากหลายให้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม KTIS มากยิ่งขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น