นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS เปิดเผยว่า บริษัทตั้งราคาขายหุ้นอยู่ที่หุ้นละ 10 บาท โดยมีบริษัท หลักทรัพย์ เคทีซีมิโก้ จำกัด เป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท และมีบริษัท หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท หลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) ร่วมจัดจำหน่าย ทั้งนี้ จะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21-23 เมษายนศกนี้
จำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 957,827,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 24.6 ของทุนจดทะเบียนของบริษัท ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 3,888,000,000 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 3,274,573,000 บาท ราคาพาร์ของหุ้นอยู่ที่ 1 บาท ซึ่งเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ จำนวน 9,578,270,000 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ในการขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาลของบริษัทฯ ลงทุนสร้างโรงงานปุ๋ยชีวภาพ 50 ล้านบาท ลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อย 2 แห่งๆ ละ 960 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทฯ โครงการผลิตน้ำเชื่อม (liquid sucrose) และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ (super refined sugar) จำนวน 980 ล้านบาท ส่วนหนึ่งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รวมถึงการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่กลุ่มผู้ถือหุ้นสิงคโปร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างของกลุ่มบริษัท 2,082.3 ล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้จะอยู่ที่ 1.5 เท่า
ปัจจุบัน กลุ่ม KTIS มีโรงงานน้ำตาลทรายรวม 3 แห่ง ได้แก่ โรงงานน้ำตาลเกษตรไทย โรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ และโรงงานน้ำตาลรวมผลฯ ซึ่งโรงงานน้ำตาลเกษตรไทยเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตใหญ่ที่สุดในโลกถึง 55,000 ตันอ้อยต่อวัน และรวมกับโรงงานรวมผลฯ ที่มีกำลังการผลิต 15,000 ตันอ้อยต่อวัน และโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ ที่มีกำลังการผลิต 18,000 ตันอ้อยต่อวัน เท่ากับว่าโรงงานน้ำตาลของบริษัทมีกำลังการผลิต 88,000 ตันอ้อยต่อวัน
นอกจากธุรกิจอ้อย และน้ำตาลแล้ว กลุ่ม KTIS ยังดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างครบวงจร ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย ธุรกิจไฟฟ้าชีวมวล และธุรกิจผลิตและจำหน่ายปุ๋ยชีวภาพ เป็นต้น ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมชั้นนำรายใหญ่ เช่น บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด บริษัท คาราบาว ตะวันแดง จำกัด บริษัท แลคตาซอย จำกัด บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า จำกัด บริษัท โอสถสภา จำกัด เป็นต้น สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศนั้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทเทรดดิ้งชั้นนำรายใหญ่ของโลก”
นายประพันธ์ ระบุว่า กลุ่ม KTIS มีรายได้หลักจากธุรกิจอ้อย และน้ำตาล มีสัดส่วนถึงประมาณร้อยละ 80 ของรายได้ทั้งหมด และรายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ซึ่งรายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีกำลังการผลิต 60 เมกะวัตต์ ที่มีการรับรู้รายได้จากการขายไฟเมื่อต้นไตรมาส 4 ของปี 2556 ที่ผ่านมา และเมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว รายได้จากธุรกิจอ้อย และน้ำตาลจะยังคงเป็นรายได้หลัก ขณะที่รายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ทำให้มีผลดีต่อบริษัทคือ ในกรณีที่ราคาน้ำตาลในตลาดโลกสูง รายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องจะเป็นส่วนเสริมให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น ขณะที่ในกรณีที่น้ำตาลในตลาดโลกราคาลดลง รายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เพิ่มขึ้นจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำตาลในตลาดโลกได้ระดับหนึ่ง
ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ในปี 2556 รายได้จากการขาย และบริการ 18,052 ล้านบาท (ไม่รวมรายได้อื่น 787 ล้านบาท) รายได้รวมของกลุ่ม KTIS อยู่ที่ 18,052 ล้านบาท โดยรายได้จากธุรกิจอ้อย และน้ำตาล มีสัดส่วนร้อยละ 80 ของรายได้ และรายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของรายได้ แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจเอทานอล ร้อยละ 8.6 รายได้จากธุรกิจเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อยร้อยละ 8.3 และรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลร้อยละ 1.5 และรายได้อื่นๆ ร้อยละ 2.9