บิ๊กเอคิว เอสเตท ฟุ้งหลังปรับทีมบริหาร เปลี่ยนนโยบายลงทุน ส่งผลปี 56 ระบายสต๊อกเก่าได้กว่า 929 ล้านบาท ปี 57 เตรียมผุดโครงการแนวราบบนแลนด์แบงก์ย่านรังสิต-พหลโยธิน ไตรมาส 2 เล็งซื้อที่ดินผุดคอนโดฯ หนุนรายได้ต่อเนื่อง ตั้งเป้ากวาดยอดขาย 2,600 ล้านบาท โต 30%
นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือเอคิว เอสเตท เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา หลังจากที่ได้มีการปรับเปลี่ยนทีมผู้บริหารใหม่ บริษัทฯ สามารถสร้างอัตราการเติบโตของยอดขายได้กว่า 350% จากโครงการคอนโดมิเนียม ทั้ง เดอะ คริส รัชดา 17 และ เอสเตส รัตนาธิเบศร์ ซึ่งนอกจากจะกำหนดกลยุทธ์การขายโครงการที่พัฒนาอยู่เดิมแล้ว ยังได้มีการพัฒนาโครงการใหม่เพื่อเติมเต็มความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งแนวสูง และแนวราบ
ด้านความคืบหน้าโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของบริษัทฯ หลังจากการปรับนโยบายการพัฒนาของทีมบริหารใหม่ ทำให้แนวทางการพัฒนาโครงการเก่ามีทิศทางที่แน่นอน ยอดขายโครงการที่คงค้างอยู่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกันนี้ การก่อสร้างโครงการ เช่น คอนโดมิเนียม เดอะ คริส รัชดา 17 ก็มีความคืบหน้าในด้านการก่อสร้างอย่างมาก คาดว่าจะสามารถโอนห้องชุดเพื่อรับรู้รายได้ทันตามแผนที่วางไว้
ทั้งนี้ ในปี 2556 บริษัทฯ รับรู้รายได้รวม 929.34 ล้านบาท โดยรายได้ดังกล่าวมาจากโครงการที่พัฒนาอยู่เดิมแล้ว ประกอบด้วย โครงการกฤษดา บางนา-เทพารักษ์, โครงการกฤษดา ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี รวม 46.72 ล้านบาท และโครงการที่พัฒนาใหม่ ประกอบด้วย โครงการกฤษดา ลากูน, กฤษดา แกรนด์พาร์ค กฤษดาเพรสทีจ เลค แอนด์ พาร์ค และคอนโดเดอะคริส รัชดา 17 รวม 781.49 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจโรงแรม และอื่นๆ รวม 101.13 ล้านบาท
ในปี 2557 บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบ และแนวสูง โดยโครงการแนวสูงบริษัทฯ จะเน้นพัฒนาในย่านที่เกาะติดแนวรถไฟฟ้าทั้งรถไฟฟ้ามหานคร และรถไฟฟ้าบีทีเอส และมีแผนในการจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมสำหรับโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2557 ซึ่งจะทำให้ได้ยอดขายตามแผนที่ตั้งเป้าไว้ได้ ส่วนโครงการแนวราบ อยู่ระหว่างการพัฒนารูปแบบ และรายละเอียดโครงการ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว หรือทาวน์เฮาส์ โดยจะเน้นการพัฒนาในบริเวณรังสิต-พหลโยธิน ซึ่งมีที่ดินรอการพัฒนาอยู่แล้ว และมีแผนที่จะหาซื้อที่ดินใหม่ในทำเลที่มีถนนตัดใหม่อีกด้วย
“ในปี 57 บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายให้ได้ประมาณ 2,600 ล้านบาท จากปี 56 สามารถสร้างยอดขายได้ 2,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นอัตราเติบโตมากถึง 30% เนื่องจากการปรับโครงสร้างการบริหารองค์กรใหม่ และทีมงานบริหารใหม่ ทำให้เรามั่นใจว่าจะสร้างยอดขายตามเป้าที่วางไว้ได้” นายยงยุทธ กล่าว
สำหรับทิศทางแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้น่าจะมีแนวโน้มการเติบโตในอัตราที่น้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากความไม่แน่นอนของภาวะการเมืองภายในประเทศ แต่คาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งทำให้ภาพรวมทั้งปีน่าจะเป็นทิศทางที่ทรงตัว และไม่เติบโตมากนัก