ผู้จัดการตลาดหุ้นไทย จ่อหารือ BALI Asian CEO Meeting ในปลายสัปดาห์นี้ วางกรอบลงนามอาเซียน ฟุตซี่ สตาร์ ตลาดหลักทรัพย์อาเซียน คัดหุ้นเด่น 180 ตัว จาก 6 ตลาดหุ้นคือไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย พร้อมโปรโมตการซื้อขายหุ้นระหว่างประเทศจาก Intra Asean Link หวังดึงเม็ดเงินนักลงทุนกลับเข้าตลาดกลุ่มอาเซียน คาดไทยรับอานิสงส์ไม่ต่ำกว่า 19% จากหุ้นเนื้อหอมกลุ่มสถาบันการเงิน และกลุ่มพลังงาน
นายจรัมพร โชติเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า แนวโน้มการเตรียมเจรจาลงนามบันทึกความเข้าในกรอบความร่วมมือการพัฒนาตลาดหุ้นกลุ่มประเทศอาเซียนในวันศุกร์ที่ 4 เมษายนนี้ ซึ่งมีประเทศอินโดนีเซีย เป็นเจ้าภาพในการจัดงาน BALI Asian CEO Meeting จากตลาดหลักทรัพย์ 6 ประเทศ คืออินโดนีเซีย ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ซึ่งวัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้เพื่อกำหนดเกณฑ์การจัดทำอาเซียน ฟุตซี่ สตาร์ จากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดกว่า 180 บริษัท จดทะเบียนใน 6 ตลาดหุ้น โดยคัดสรรบริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่น มีศักยภาพการเติบโตที่ดี ตลาดหุ้นละไม่เกิน 30 บริษัท
ทั้งนี้ คาดว่าการจัดทำอาเซียน ฟุตซี่ สตาร์ เพื่อที่จะให้กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศมองเห็นพัฒนาการความเติบโตที่มั่นคง และมีความน่าลงทุน ซึ่งจะช่วยเพิ่มแนวโน้มการลงทุนจากประเทศที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าหากกรอบความร่วมมือนี้สำเร็จ จะมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศใหลเข้ามาในตลาดหุ้นทั้ง 6 แห่งเพิ่มมากขึ้น โดยตลาดหุ้นไทยประมาณการว่าจะมีเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเฉลี่ย 19% จากหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน และกลุ่มพลังงาน
โดย Market Cap เปรียบเทียบใน 6 ประเทศ ณ สิ้น เดือนธันวาคม 2556 ตลาดหุ้นสิงคโปร์ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 7.74 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 3.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นไทย มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 3.54 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นมาเลเซีย มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และตลาดหุ้นเวียดนาม มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 5.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ จะมีในส่วนของความร่วมมือเพื่อโปรโมตการซื้อขายหุ้นระหว่างประเทศจาก Intra Asean Link ที่ได้มีการเจรจาไปก่อนหน้านี้ ซึ่งจะช่วยพัฒนากลุ่มธุรกิจโบรกฯ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และกองทุนรวมเปิดที่จดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือ ETF ด้วย โดยความร่วมมือเพื่อพัฒนาการซื้อขายหุ้นระหว่างประเทศครั้งนี้ จะมีกลุ่มบริษัทโบรกฯ และ บลจ.ที่จะเข้าร่วมด้วยอย่าางน้อย 10 บริษัท แต่อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมีข้อติดขัดในเรื่องกฎเกณฑ์การจำกัดวงเงินเพื่อการลงทุนต่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. โดยคาดว่าในอนาคตจะมีการขยายกรอบเม็ดเงินการลงทุน หรือเปิดเสรีมากขึ้น
ขณะที่ปัญหาการเมืองภายในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อ Market Cap ของตลาดหุ้นไทย แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ บริษัทจดทะเบียนที่ทำการซื้อขายหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว ซึ่งบางบริษัทจะอิงกับนโยบายภาครัฐ และโครงการที่เข้าประมูลงานภาครัฐ ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน เช่นผลประกอบการกำไร และรายได้ที่ลดลง โดยขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจเป็นหลัก ในขณะที่บริษัทจดทะเบียนใหม่ที่เตรียมจะเข้าทำการซื้อขายหุ้น IPO นั้น คาดว่าจะไม่ผลกระทบ เนื่องจากนักลงทุนรับรู้สถานการณ์การเมืองที่ผ่านมาเป็นอย่างดี และยอดจองหุ้น IPO ที่เตรียมจะเข้าตลาดนั้นมีการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ซึ่งคาดว่า Market Cap ของหุ้น IPO ที่จะเข้าใหม่ในปีนี้ จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อย่างไรก็ตาม จากการที่ดัชนี SET INDEX ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับประมาณ 1,350 ซึ่งมูลค่าหุ้นตามราคาหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงจากปัจจัยต่างประเทศในเรื่องมาตรการ QE ของสหรัฐฯ และปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศที่เป็นปัญหาระยะสั้นเท่านั้น ส่งผลให้หุ้นมีราคาที่ถูกลงแล้ว ถือว่าช่วงเวลานี้เหมาะสมต่อการที่นักลงทุนจะเข้าไปลงทุนระยะยาว
อย่างไรก็ตาม จากการเยี่ยมชมตลาดหลักทรัพย์ฮานอย ประเทศเวียดนาม โดยตลาดหุ้นเวียดนามมีตลาดหลักทรัพย์อยู่ 2 แห่งคือ ตลาดหลักทรัพย์ฮานอย และตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ ซึ่งตลาดหุ้นฮานอย มีบริษัทจดทะเบียน 396 บริษัท แนวโน้มอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 20% ซึ่งจากวิกฤตทางการเงินในประเทศสหรัฐฯ จากมาตรการ QE ที่ผ่านมา ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศเวียดนามปรับตัวลดลง ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฮานอย มีการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ 900 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ Market Cap 1.9 แสนล้านบาท อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ หรือ P/E 19 เท่า ในขณะที่ตลาดหุ้นโฮจิมินห์ มีบริษัทจดทะเบียน 308 บริษัท มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 2,600 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 1.5 ล้านล้านบาท อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ อยู่ที่ 13 เท่า ในขณะที่ประเทศไทยซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 30,000 ล้านบาท Market Cap 12 ล้านล้านบาท อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิอยู่ที่ 12 เท่า