25 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม 2557 ราคาทองคำยังอยู่ในขาขึ้นเล็กน้อย ไม่เปลี่ยนแปลงมากถึงแม้ว่าบางวันราคาทองคำในตลาดต่างประเทศมีราคาพุ่งสูงขึ้น แต่ทว่าค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศยังปรับขึ้นไม่สูงมากตามราคาตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้คาดการณ์ว่าราคาทองคำในตลาดโลกจะต่ำสุดที่ 1,298 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ สูงสุดที่ 1,375 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ราคาในประเทศปรับตัวลงต่ำสุดที่ 20,400 - 20,500 บาท ต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาทในเช้าวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 และราคาดีดตัวสุดที่ 20,700 - 20,800 บาท ต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท ในวันที่ 4 มีนาคม 2557
โดยปจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท คือ วิกฤติการเมืองที่ยืดเยื้อในประเทศไทย การที่คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส ยุบพื้นที่การชุมนุมลงเหลือเวทีสวนลุมพินีที่เดียว ส่งผลดีต่อจิตวทิยาการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น
ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นจาก 32.55 บาทต่อดอลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 32.35 บาทต่อดอลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำในตลาดโลกยังคงอยู่ในช่วงาขึ้น เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับวิกฤในประเทศยูเครน ประชาชนชาวยูเครนออกมาประท้วงรัฐบาลชุดเดิมที่อิงก้บประเทศรัสเซีย แต่ประชาชนชาวยูเครนต้องการที่จะให้ยูเครนเข้าไปอิงอยู่ในกลุ่มสหภาพยุโรป แต่รัฐบาลไม่ยอมจนเกิดการประท้วงส่งผลให้ชาวยูเครนบ่าเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก หลังการประท้วงนานกว่า 3 เดือน รัฐบาลก็ยอมลาออก แต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้สงบลงเมื่อรัฐเซียเคลื่อนกองกำลังทหารติดอาวุธเข้ามาในเมืองไครเมีย โดยอ้างการปกป้องชาวรัสเซียในเมืองดังกล่าว ส่งผลให้นานาประเทศเดินหน้าประท้วงรัฐเซียด้วยการแซงชั่น รวมถึงออกแถลงการขับรัฐเซ๊ยออกจากกลุ่ม G8 จนรัฐเซียยอมอ่อนข้อลงอย่างมาก อย่างไรก็ตามดัชนีตลาดหุ้นมอสโกวก็ร่วงลงอย่างหนัก ทองคำได้รับความสำคัญในฐานะสินทรัพย์มั่นคงอีกครั้ง
หันมามองเหตุการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี ที่เกาหลีเหนือทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ในทะเลใกล้ก้บเกาหลีใต้ ถือเป็นการยั่วยุจนเกิดความตึงเครียด ตลอดจนกรณีพิพาทระหว่างญี่ปุ่นกับจีนก็ยังไม่ยุติ ต่างยืนยันในสิทธ์การเป็นเจ้าของ และตรึงกำลังทหารกันอยู่อย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์ทางการเมืองในแต่ละประเทศส่งผลให้นักลงทุนเกรงว่าจะเกิดการสู้รบบานปลายกลายเป็นสงคราม จึงหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น ประกอบกับจีนมีความต้องการทองคำเพื่มขึ้นอย่าง
ต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2013 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2014 เทศกาลตรุษจีน คนจีนเก็บสะสมทองคำรวมถึงเริ่มหันมาเก็งกำไรในทองคำมากขึ้ยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน จนขณะนี้จีนกลายเป็นประเทศที่มีทองคำมากที่สุดในโลก หากพิจารณาจากความจริง จีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีประชากรในจีนที่มีอยู่ประมาณ 1,400 ล้านคน รองจากสหรัฐอเมริกา จนได้รับการขนานนามว่า "โรงงานผลิตของโลก" โดยผลจากการผลิตมากเป็นอันดับ 1 ของจีนถือเป็นการแทรกแซงค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าลงต่ำกว่าความเป็นจริง ส่งผลให้จีนมีความได้เปรียบในด้านการส่งออกสินค้า เพราะเป็นแหล่งผลิตที่มีต้นทุนสินค้าต่ำที่สุดในโลก ประกอบกับภาคเอกชนของจีนกำลังพยายามยกระดับมาตรฐานการผลิตสินค้าคุณภาพสูงขึ้น
ความพยายามทั้งหมดชะงักลงในปี 2008 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในจีน จนรัฐบาลจีนต้องออกมาตรการสร้างความสมดุลย์ระหว่างการส่งออก และการบริโภคในประเทศ โดยให้คนจีนบริโภคสินค้าภายในประเทศมากขึ้น ประกอบกับธนาคารกลางจีนได้เร่งผลักดันให้ค่าเงินหยวนเคลื่อไหวได้อย่างเสรีในตลาดโลกมากขึ้น ด้วยการลงนามความตกลงสวอปค่าเงินโดยตรงกับธนาคารกลางประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนค่าเงินกับประะเทศที่ลงนามได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องใช้สกุลดอลลาร์สหรัฐมาเป็นตัวกลางในการเปลี่ยนสกุลเงิน ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้มีการใชเงินหยวนในการซื้อ ขายระหว่างประเทศมากขึ้น จนสกุลเงินหยวนขยับขึ้นมาเป็นเงินสกุลที่ใช้ในการชำระเงินอันดับ 7 ของโลก ตามหลังดอลลาร์สหรัฐอยู่ 38.75% รองลงมาคือเงินยูโร ประเทศอังกฤษ เงินเยน ญี่ปุ่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย นอกจากนี้ จีนยังพยายามเพิ่มความโปร่งใสด้วยการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง โดยในปี 2013 รัฐบาลจีนสามารถเรียกเงินจากการทุจริตคืนได้ถึง 400,000 ล้านหยวน มีการลงโทษทางวินัยเจ้าหน้าที่มากกว่า 40,000 คน ปลดออก 10,000 คน ถือเป็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนว่ารัฐบาลจีนต้องการขจัดคอร์รัปชั่นให้หมดไปจากจีนอย่างจริงจัง
แต่เมื่อหันกลับไปมองหนี้ภาคเอกชนของจีนกลับเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการ จนสถาบันการจัดอันดับเครดิต S&P ออกมาเตือนว่าหนี้ภาคเอกชนพุ่งสูงขึ้นมาก ส่งผลให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น โดยมีการประเมินว่าตั้งแต่สิ้นปี 2013 บริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินของจีนมีหนี้จากการกู้ยืมธนาคาร และการออกหุ้นกู้รวมมากกว่า 12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นสัดส่วนที่มากกว่า 120% ของ GDP โดยบริษัทขนาดใหญ่ 945 แห่งมีหนี้สูงถึง 260% จากเดิม 1.82 ล้านล้านหยวน มาอยู่ที่ 4.72 ล้านล้านหยวน ส่งผลให้สภาพคล่องในบริษัทเหล่านั้นเริ่มตึงตัว กลายมาเป็นภาระของรัฐบาลที่ต้องให้การสนับสนุนเพราะหากปล่อยให้บริษัทแห่งใดแห่งหนี่งล้มละลาย จะส่งผลกระทบต่อภาคประชาชนกลายเป็นปัญหาสังคมในที่สุด
มาถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง คือ หลังจากที่ประเทศอินเดียเริ่มขาดดุลทางการค้าลดลงเป็นอย่างมากตั้งแต่ปลายปี 2013 ทำให้นักลงทุนอินเดียเริ่มกลับมาซื้อทองคำเก็บไว้อย่างจริงจังเพื่อรอจังหวะเก็งกำไร ทำให้ความต้องการทองคำในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
หันกลับมาทมองปัจจัยภายในประเทศ ที่มูลค่าการส่งออกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนมกราคม 2557 มูลค่าการส่งออกลดต่ำลงเหลือ 17,900 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ลดลง 1.98% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีมูลค่าต่ำที่สุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 20,400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ลดลง 15.5% ขาดดุลการค้าเดือนเดียวสูงถึง 2,521 านดอลล่าร์สหรัฐ การส่งออกลดลงเกิดจากความสามารถในการแข่งขันลดลง ประกอบกับรัฐบาลไม่สามารถหาตลาดหรือปรับกลยุทธ์การแข่งขันในตลาดโลกได้ เพราะใช้บุคลลที่อ่อนประสบการณ์เข้ามาทำงานด้านการตลาดทั้งในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง และระดับโลก