xs
xsm
sm
md
lg

“แสนสิริ” แจงปี 56 กำไรสุทธิหด 34% เหตุการเมืองกระทบแผนโอนกรรมสิทธิ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วันจักร์ บุรณศิริ
“แสนสิริ” เผยปี 56 รายได้รวม 28,987 ล้านบาท ลดลงจากปี 55 ที่มีรายได้ 30,087 ล้านบาท เหตุรายได้จากการขายโครงการลดลง 4% หลังปัญหาแรงงานขาด การเมืองกระทบแผนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด แจงอสังหาฯ ยังคงเป็นรายได้หลักโดยมีแชร์รายได้รวมกว่า 96% ด้านกําไรสุทธิอยู่ที่ 1,930 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 34% ปัจจัยหลักจากลดลงของรายได้รวม ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานปรับตัวสูงขึ้น

นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทย่อยว่า ในปี 56 มีรายได้รวมที่ 28,987 ล้านบาท ลดลงที่ 4% จากปี 55 ซึ่งมีรายได้รวมที่ 30,087 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักของการลดลงจากรายได้มาจากการขายโครงการลดลง 4% และรายได้จากโครงการเพื่อเช่าลดลง 20% โดยในปีที่ผ่านมา รายได้จากการขายโครงการมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 96% ของรายได้รวม ส่วนกําไรสุทธิของปี 56 อยู่ที่ 1,930 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 34% โดยในปี 55 บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 2,938 ล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจัยหลักของการลดลงของกำไรสุทธิเกิดจากการลดลงของรายได้รวม ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานปรับตัวสูงขึ้น

“ในปี 56 บริษัทมีรายได้รวมที่ 27,724 ลดลงจากปี 55 กว่า 4% โดยมีรายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียม 15,157 ล้านบาท คิดเป็น 55% รายได้จากการขายโครงการบ้านเดี่ยว 10,166 ล้านบาท 37% และรายได้จากการขายโครงการทาวน์เฮาส์ 2,367 ล้านบาท คิดเป็น 8% ขณะที่ในปี 55 แสนสิริ มีรายได้รวมที่ 28,954ล้านบาท โดยมาจากบ้านเดี่ยว 9,406 ล้านบาท จากทาวน์เฮาส์ และอาคารพาณิชย์ 4,635 ล้านบาท และมีรายได้จากคอนโดมิเนียม 14,804 ล้านบาท”

ทั้งนี้ การลดลงของรายได้ในปี 56 มีปัจจัยหลักมาจากความวุ่นวายทางการเมืองซึ่งทําให้หน่วยงานราชการบางแห่งไม่สามารถเปิดดําเนินการได้ตามปกติ เช่น จังหวัดภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถออกโฉนดที่ดิน และอาคารชุดให้ลูกค้าได้ทันตามกำหนด ทําให้ต้องเลื่อนกําหนดการโอนกรรมสิทธิ์ในบางโครงการออกไป ส่งผลให้รายได้จากการขายโครงการในปี 56 มีจํานวนลดลง

สําหรับรายได้จากการขายโครงการบ้านเดี่ยวในปี 56 อยู่ที่ 10,166 ล้านบาท ปรับเพิ่มสูงขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปี 55 โดยเป็นรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ “เศรษฐสิริ” จํานวน 8 โครงการ มูลค่ารวม 4,276 ล้านบาท และเป็นรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ “ฮาบิเทีย” จํานวน 9 โครงการ มูลค่า 2,500 ล้านบาท รายได้รวมจากทั้ง 2 แบรนด์ดังกล่าวคิดเป็น 24% ของรายได้จากการขายโครงการทั้งหมด ทั้งนี้ โครงการเศรษฐสิริ แจ้งวัฒนะ-ประชาชื่น เป็นโครงการบ้านเดี่ยวที่มีการรับรู้รายได้สูงที่สุดในปี 56 ที่โดยมีรายได้ที่1,284 ล้านบาท

ส่วนรายได้จากโครงการทาวน์เฮาส์ในปี 56 มีจํานวน 2,367 ล้านบาท ลดลง 49% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นรายได้จากโครงการทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ “ทาวน์ อเวนิว” จํานวน 8 โครงการ มูลค่ารวม 848 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์ ภายใต้แบรนด์ “ฮาบิทาวน์” จํานวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 694 ล้านบาท โดยโครงการทาวน์เฮาส์ที่มีการรับรู้รายได้สูงสุด คือ โครงการฮาบิทาวน์ โฟลด์ ติวานนท์-แจ้งวัฒนะ และโครงการทาวน์ อเวนิว ซิกตี้ วิภาวดี 60 อย่างไรก็ดี สัดส่วนของรายได้จากการขายโครงการทาวน์เฮาส์มีแนวโน้มลดลงตามนโยบายการลงทุนในโครงการทาวน์เฮาส์ ซึ่งปรับลดลงมาอยู่ที่ 5-10% ของโครงการทั้งหมด

นายวันจักร์ กล่าวว่า ขณะที่รายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียมในปี 56 คิดเป็นสัดส่วนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้จากการขายโครงการทั้งหมด ซึ่งปรับสูงขึ้นจาก 14,804 ล้านบาท ในปี 55 มาอยู่ที่ 15,157 ล้านบาท คิดเป็น 51% ของรายได้จากการขายโครงการในปี 55 หรือคิดเป็น 55% ของรายได้จากการขายโครงการในปี 56 โดยเป็นผลมาจากโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จ และเริ่มโอนในปี 56 ที่มีจํานวนมากถึง 12 โครงการ ประกอบกับโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จในช่วงปลายปี 55 และยังคงมีการโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องมาในปี 56 จำนวน 11 โครงการ

โดยรายได้หลักของโครงการคอนโดมิเนียมมาจาก 6 โครงการ ได้แก่ โครงการออนิกซ์ พหลโยธิน โครงการเดอะ เบส แจ้งวัฒนะ โครงการเดอะ เบส สุขุมวิท 77 โครงการวายน์ สุขุมวิท โครงการซีล บาย แสนสิริ และโครงการบ้านแสนคราม โดยมีรายรับรวมจาก 6 โครงการดังกล่าวที่ 8,058 ล้านบาท คิดเป็น 29% ของรายได้จากการขายโครงการทั้งหมด

สําหรับรายได้จากโครงการเพื่อเช่าเท่าในปี 56 ของบริษัทอยู่ที่ 126 ล้านบาท ลดลงจาก 157 ล้านบาท ในปี 55 กว่า 20% เนื่องจากจำนวนโครงการเพื่อเช่าลดลง หลังจากที่อาคารภักดีได้ครบกําหนดสัญญาเช่าในเดือนกรกฎาคม 56 ขณะที่รายรับค่าบริการธุรกิจมีจํานวน 500 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% จากจํานวน 473 ล้านบาท ในปี 55 โดยมีสาเหตุจากรายได้เพิ่มขึ้นจากฐานลูกค้าที่มากขึ้นของงานบริหารงานขาย (Asset Management) และงานบริหารจัดการโครงการ (Property Management) ซึ่งบริหารงานโดยบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด นอกจากนี้ แสนสิริ ยังมีรายได้ค่าบริการอื่น ประกอบด้วย รายได้จากธุรกิจเมดิคัลสปา รายได้จากธุรกิจโรงแรม และรายได้จากธุรกิจโรงเรียนในปี 56 รวม246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปี 55 ซึ่งมีรายได้รวม 236 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมา ต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัทมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่แล้ว แสนสิริ บันทึกต้นทุนขายโครงการอยู่ที่ 18,565 ล้านบาท ลดลง 4% เมื่อเทียบกับต้นทุนการขายโครงการในปี 55 ซึ่งอยู่ในทิศทางเดียวกับการลดลงของรายได้จากการขายโครงการ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสําหรับโครงการเพื่อขายปรับตัวลดลงจาก 33.4% ในปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 33.0% ในปี 56 โดยมีสาเหตุมาจากการขาดแคลนแรงงาน ส่งผลให้แสนสิริมีต้นทุนในการบริหารจัดการแรงงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จตามแผนงานที่กําหนด

สําหรับต้นทุนโครงการเพื่อเช่าปี 56 มีจํานวน 71 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 55 ในขณะที่ต้นทุนบริการธุรกิจเพิ่มขึ้นจาก 298 ล้านบาท ในปี 55 มาอยู่ที่ 339 ล้านบาท ในปี 56 ตามการเพิ่มขึ้นของรายรับค่าบริการธุรกิจ ส่วนต้นทุนบริการอื่นซึ่งครอบคลุมไปถึงต้นทุนธุรกิจเมดิคัลสปา ต้นทุนธุรกิจโรงแรม และต้นทุนธุรกิจโรงเรียน ปรับเพิ่มขึ้นจากปี 55 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนธุรกิจโรงเรียน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากรเพิ่มขึ้นตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องรายได้ขั้นต่ำ

นายวันจักร์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร ในปี 56 คิดอยู่ที่23.5% ของรายได้รวม ปรับเพิ่มขึ้นจากปี 55 ที่อยู่ในระดับ2 0.1% สําหรับค่าใช้จ่ายในการขายปี 56 มีจํานวน 3,956 ล้านบาท คิดเป็น 13.6% ของรายได้รวมปรับเพิ่มสูงขึ้นจาก 3,289 ล้านบาท คิดเป็น 10.9% ของรายได้รวมในปี 55 สาเหตุหลักมาจากในปี5 6 มีการเปิดตัวโครงการใหม่มากถึง 48 โครงการ ประกอบกับการขยายตลาดไปยังจังหวัดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ทําให้มีค่าใช้จ่ายในการขาย และการทําตลาด ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ถูกบันทึกในปี 56 ขณะที่รายได้จากการขายยังคงรอรับรู้เป็นรายได้ในอนาคต ส่งผลให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นและรายได้ สัดส่วนของค่าใช้จ่ายในการขาย เมื่อเทียบกับรายได้จึงอยู่ในเกณฑ์สูง

อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการขายที่แสนสิริได้ลงทุนไปสะท้อนกลับมาในยอดขายปี 56 ที่สูงถึง 42,200 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (รวมค่าตอบแทนผู้บริหาร) มีจํานวน 2,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 107 ล้านบาทเ มื่อเทียบกับปี 55 ตามการเติบโตของธุรกิจ อย่างไรก็ดี สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมในปี 56 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.8% ของรายได้รวม จากเดิมที่ 9.1% ของรายได้รวมในปี 55 เป็นผลมาจากฐานรายได้รวมที่ลดลงในปี56

ส่วนค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้นจาก 328 ล้านบาท ในปี55 มาอยู่ที่ 616 ล้านบาท ในปี 56 โดยมีปัจจัยหลักมาจากที่ดินบางส่วนที่ได้จัดซื้อเพิ่มในปี 56 ยังคงอยู่ระหว่งกระบวนการออกแบบและการวางแผนด้านการตลาด ซึ่งแสนสิริ ยังไม่ได้นํามาพัฒนาโครงการ ทําให้ดอกเบี้ยของที่ดินดังกล่าวไม่สามารถบันทึกเป็นต้นทุนได้ ประกอบกับโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จและอยู่ระหว่างรอการโอนกรรมสิทธิ์ ทําให้ดอกเบี้ยของห้องชุดที่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์จะถูกบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางการเงิน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น