แลนด์ฯ เผยยอดขายเดือน ธ.ค.ปี 56 หดตัวจากช่วงปกติ 50% หลังผลกระทบการชุมนุมทางการเมืองลูกค้าชะลอตัดสินใจซื้อ-โอน แจงก่อนหน้าประเมินอัตราการเติบโตของยอดขายรวมปี 57 โต 10-15% ก่อนประเมินสถานการตลาดอสังหาฯ ใหม่ พร้อมปรับลดเป้ายอดขายเหลือโตแค่ 6% หรือมียอดขายรวที่ 32,000 ล้านบาท คาดรับรู้รายได้ทั้งปีไม่ต่ำ 27,000 ล้านบาท เปิดแผนปี 57 ลงทุนโครงการใหม่เพิ่ม 21 โครงการ มูลค่ากว่า 35,000 ล้านบาท เตรียมออกหุ้นกู้ 8,000 ล้านบบาท เล็งขนอสังหาฯ เพื่อเช่า 3 โครงการ ตั้งกอง REIT คาดปีนี้นำร่องก่อน 2 โครงการ
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH กล่าวว่า ในปี 2556 ที่ผ่านมา ตัวเลขรวมการจัดทะเบียนเฉพาะบ้านจัดสรรระหว่างเดือน ม.ค.-พ.ย.เพิ่มขึ้นจากช่วงเดี่ยวกันของปี 55 ประมาณ 8% หรือมีตัวเลขการจดทะเบียน ณ 11 เดือน อยู่ที่ 96,660 หน่วย ส่วนตัวเลขประมาณการจดทะเบียนบ้านจัดสรรรวมทั้งปีคาดว่าอยู่ที่ 110,300 หน่วย หรือโตจากปี 55 ประมาณ 8.6% โดยตัวเลขจัดจดทะเบียนทั้งปีจัดสรรทั้งปี 55 อยู่ที่ 101,565 หน่วย
จากตัวเลขการจดทะเบียนดังกล่าวที่มีการขยายตัวอย่างมากในที่ผ่านมา เมื่อนับรวมกับตัวเลขการจดทะบียนห้องชุดในที่มีการจดทะเบียนขออนุญาตก่อสร้างโครงการใหม่ที่ขยายตัวสูงมาก ทำให้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทุกค่ายมีการประมาณการรายได้ว่าจะมีอัตราการเติบโตมากที่สุดอีกปีหนึ่ง ประกอบกับในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีที่แล้ว ผลประกอบการของทุกค่ายอยู่ในเกณฑ์ที่ดีทำให้ทุกค่ายยิ่งมีความมั่นใจว่าเป็นปีทองของอสัหาฯ อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 4 ของปี ยอดขายของทุกค่ายเริ่มชะลอตัวลงทั้งที่อยู่ในช่วงฤดูกาลขาย โดยเฉพาะในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. เนื่องจากเกิดการชุมนุมทางการเมือง ส่งผลให้ในปี 56 ตัวเลขประมษณการของทุกค่ายไม่เป็นไปตามที่คาดการไว้
โดยในส่วนของ LH ในช่วงเดือนสุดท้ายมียอดขายหดตัวลงจากช่วงปกติถึง 50% ทั้งนี้ จากการประเมินสถานการตลาดโดยรวมของปี 57 และผลกระทบทางการเมืองแล้ว ทำให้บริษัทได้มีการปรับลดประมาณการการเติบโตของยอดขายรวมลงมาอยู่ที่ 6% หรือมียอดขายรวมที่ 32,000 ล้านบาท จากเดิมที่ประมาณการรายได้รวมว่าจะมีอัตราการเติบโตในปีนี้ที่ 10-15% สำหรับในปีก่อนหน้านี้ บริษัทมียอดขายรวมที่ 30,200 ล้านบาท เติบโตจากปี 55 กว่า 20.3%
นายนพร กล่าวว่า สำหรับปี 57 นี้ LH มีแผนเปิดโครงการใหม่จำนวน 21 โครงการ มูลค่าราม 35,000 ล้านบาท เมื่อนับรวมกับโครงการเดิมที่เปิดขายอยู่ในมือ 64 โครงการ จะทำให้ทั้งปี 57 บริษัทมีโครงการที่เปิดขายทั้งสิ้น 85 โครงการ พร้อมกันนี้ บริษัทได้ตั้งงบลงทุนไว้ 9,000 ล้านบาท โดยงบลงทุนจำนวนดังกล่าวจะนำไปใช้ในการซื้อที่ดินสะสมรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ของปี 57-58 จำนวน7,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 2,000 ล้านบาท จะนำไปลงทุนซื้อและพัฒนาโครงการอสังหาเพื่อปล่อยเช่า โดยเบื้องต้นจะนำไปก่อสร้างโครงการอพาร์ตเมนต์ในซอยทองหล่อ 400-500 ล้านบาท หลังจากที่ในปีก่อนหน้าได้เซ็งที่ดินในซอยทองหล่อเข้ามารอการพัฒนา 1 แปลง
“ในปีนี้ แลนด์ฯ มีแผนระดมทุนเพิ่มโดยคาดว่าจะออกหุ้นกู้ มูลค่าประมาณ 8,000ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นหุ้นกู้อายุ 3 ปีที่ครบกำหนดไถ่ถอนนำมารีไฟแนนช์ใหม่ 75% ส่วนที่เหลือเป็นหุ้นกู้ล็อตใหม่เพื่อนำเงินไปใช้ลงทุนในการซื้อที่ดินสะสมรอการพัฒนา พร้อมกันนี้ ยังมีแผนจะจัดตั้งกองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอส้งหาริมทรัพย์ (REIT) ที่จะพิจารณาอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เช่าอยู่ ขายให้เป็นสินทรัพย์ของกองทุนจำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการแกรนด์เซ็นเตอร์พอยท์อโศก, แกรนด์ เซ็นเตอร์พอยท์ ราชดำริ และแกรนด์ เซ็นเตอร์พอยท์เพลินจิต อย่างไรก็ตาม คาดว่าหากจะดำเนินการจริงจะสามารถนำโครงการแกรนด์อโศก และราชดำริ ขายเข้ากองทุนได้เท่านั้น เนื่องจากอีกหนึ่งโครงการจะมีการปรับปรุงใหม่ในปีนี้” นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ LH กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปี 57 นี้ บริษัท ตั้งเป้ายอดขายปี 57 ไว้ที่ 32,000 ล้านบาท เติบโต 6% จากปี 56 ที่มียอดขายรวม 30,200 ล้านบาท โดยบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 21 โครงการ มูลค่ารวมราว 35,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการพัฒนาโครงการในไตรมาส 1 จำนวน 7 โครงการ ไตรมาส 2 จำนวน 8 โครงการ ไตรมาส 3 จำนวน 4 โครงการ และไตรมาสสุดท้ายอีก 2 โครงการ
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 57 นี้จะรับรู้รายได้จากยอดโอนราว 25,000 ล้านบาท โดยจะมาจากโครงการเปิดใหม่ และโครงการเดิม รวมถึงมียอดขายบ้าน และคอนโดมิเนียม หรือ Backlog ที่รอรับรู้รายได้ที่อยู่ในมือแล้ว 15,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้ประมาณ 4,000 ล้านบาท รวมทั้งจะรับรู้รายได้จากค่าเช่าประมาณ 2,500 ล้านบาท และรับรู้กำไรจากการลงทุนในบริษัทลูกอีกประมาณ 2,300 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นของปีนี้ใกล้เคียงกับปี 56 ที่ 35.5%
“สำหรับปีที่ผ่านมา บริษัท และบริษัทย่อยมีหนี้เงินกู้รวม 34,000ล้านบาท และมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นปีระมาณ 600 ล้านบาท เมื่อหักลบเงินคงเหลือในมือแล้วจะทำให้บริษัทมีหนี้เงินกู้อยู่ที่ 33,400 ล้านบาท ทำให้ในปีก่อนหน้ามีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.96เท่า อย่างไรก็ตาม การขยายการลงทุนในปีนี้จะทำให้บริษัทมีหนี้เงินกู้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4% ซึ่งจะทำให้ในปีนี้บริษัทจะมีสัดส่วนหนี้สินต่อเพิ่มขึ้นเป้น 1 ต่อ 1 เท่า”
ส่วนภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ มองว่าในระยะสั้นยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาทางด้านการเมืองที่อาจจะได้รับผลกระทบต่อภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ แต่อย่างไรก็ตาม ระยะยาวการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และประเทศไทยจะมีระบบการขนส่งที่สามารถเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคได้นั้นจะยังส่งผลดีต่อภาพรวมอสังหาริมทรัพย์