หุ้นเช้าปิดลบ 8 จุด นักวิเคราะห์ยอมรับดัชนีหุ้นไทยผันผวน เนื่องจากปัจจัยด้านการเมืองดูจะตึงเครียดมากขึ้น หลังประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 60 วัน ขณะที่ต่างประเทศเริ่มยกระดับการเตือนภัยเข้าไทย ฮ่องกงถึงขั้นสูงสุด จีนเตรียมจ่อคิวตาม อาจกระทบถึงตรุษจีน แนะจับตาพิษเบี้ยวเงินจำนำข้าวอาจโหมไฟการชุมนุมเพิ่มขึ้นอีกด้าน
ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (22 ม.ค.) ดัชนีปิดครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,285.19 จุด ลดลง 7.91 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.61% มูลค่าการซื้อขาย 14,512.61 ล้านบาท
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้แกว่งผันผวน เนื่องจากปัจจัยด้านการเมืองดูจะตึงเครียดมากขึ้น หลังรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นเวลา 60 วัน มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ขณะที่ กปปส. ยังยืนยันการเคลื่อนไหวต่อไป ด้านต่างประเทศเริ่มยกระดับเตือนภัยในการเดินทางมากรุงเทพฯ เริ่มจากฮ่องกง ที่ปรับเป็นขั้นสูงสุด จับตาจีนต่อไป คาดยิ่งส่งผลลบต่อการท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงตรุษจีนที่จะถึงนี้
สำหรับประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (ดอกเบี้ยนโยบาย) ลงอีก 0.25% จากความยืดเยื้อทางการเมืองที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระยะต่อไปมากขึ้น แม้มองเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด แต่คาดหุ้นจะรับอานิสงส์ได้ไม่มาก และเป็นเพียงช่วงสั้นจากแรงกดดันทางการเมืองที่มีมากกว่า
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจับตาการตัดสินใจของรัฐบาลเรื่องเงินกู้จ่ายจำนำข้าวชาวนา 1.3 แสนล้านบาท หลังกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงไม่มีอำนาจพิจารณา หากรัฐแก้ไขปัญหาไม่ได้ อาจเป็นการโหมไฟการชุมนุมเพิ่มขึ้นอีกด้าน พร้อมให้แนวต้านที่ 1,300-1,310 จุด และแนวรับที่ 1,285-1,280 จุด
ด้าน น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ยอมรับว่า ดัชนีหุ้นไทยมีการปรับตัวลงจากความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่แน่นอน และการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากเป็นช่วง High season ของการท่องเที่ยว ด้านตลาดหุ้นภูมิภาคส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวกมากกว่าแดนลบ
แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ยังคงต้องติดตามสถานการณ์การเมืองต่อเนื่อง ซึ่งทิศทางตลาดในช่วงสั้นนี้มีความผันแปรไปตามเหตุการณ์รายวันในด้านการเมืองเป็นหลัก ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และแนวโน้มเศรษฐกิจยังมีน้ำหนักที่น้อยอยู่มาก พร้อมให้กรอบแนวรับ 1,280 จุด และแนวต้าน 1,300 จุด
ส่วนผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) บ่ายวันนี้ ไม่ว่าจะมีการคง หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่นั้น จะมีผลทางเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนักลงทุนยังอยู่ในระดับต่ำ จากปัญหาเศรษฐกิจ และการเมือง หากภาวะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำมองว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ไม่ได้มากนัก
