ASTVผู้จัดการรายวัน – กนง.คงดอกเบี้ย สะท้อนพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแกร่ง ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนเข้าซื้อพยุงดัชนีหุ้นไทยปิดลบแค่ 2 จุด หลังรัฐบาลประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินล้อมกรอบผุ้ชุมนุม โบรกฯประเมินหากไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงคาดเห็นโอกาสดัชนีหุ้นไทยรีบาวนด์ พร้อมแนะให้จับตาการจ่ายเงินจำนำข้าว1.3แสนล้านให้ชาวนา หากหาไม่ได้มีหวังเดือดต่อ
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (22ม.ค.) ปรับตัวในแดนลบตลอดทั้งวัน ภายหลังจากรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเมื่อเย็นวานนี้ โดยเปิดตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 12 จุด ก่อนมีแรงซื้อไหลเข้ามาพยุงดัชนี จนทำให้ปิดตลาดที่ระดับ 1,290.49 จุด ลดลง 2.61 จุด หรือ 0.20% มูลค่าการซื้อขาย 31,760.74 ล้านบาท
ภาพรวมนักวิเคราะห์มองว่า สาเหตุที่ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาปิดลบ 2 จุดนั้น เกิดจากกรณีคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง เรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาได้บ้างหลังจากกังวลกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น
โดยระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,296.03 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,280.09 จุด หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 212 หลักทรัพย์ ลดลง 463 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 210 หลักทรัพย์ ขณะที่นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 1,091.04 ล้านบาท นักลงทุนภายในประเทศ ซื้อสุทธิ 240.34 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 861.64 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ -469.74 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,828.25 ล้านบาท ปิดที่ 170.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท BBL มูลค่าการซื้อขาย 2,216.21 ล้านบาท ปิดที่ 175.00 บาท ลดลง 1.00 บาท JAS มูลค่าการซื้อขาย 1,696.79 ล้านบาท ปิดที่ 7.25 บาท ลดลง 0.05 บาท SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,297.97 ล้านบาท ปิดที่ 150.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท และ AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,289.93 ล้านบาท ปิดที่ 160.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ดัชนีหุ้นไทยแกว่งผันผวน เนื่อจากปัจจัยด้านการเมืองดูจะตึงเครียดมากขึ้น หลังรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นเวลา 60 วัน มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขณะที่ กปปส. ยังยืนยันการเคลื่อนไหวต่อไป ด้านต่างประเทศ เริ่มยกระดับเตือนภัยในการเดินทางมากรุงเทพฯ เริ่มจากฮ่องกง ที่ปรับเป็นขั้นสูงสุด จับตาจีนต่อไป คาดยิ่งส่งผลลบต่อการท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงตรุษจีนที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจับตาการตัดสินใจของรัฐบาลเรื่องเงินกู้จ่ายจำนำข้าวชาวนา 1.3 แสนล้านบาท หลังกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงไม่มีอำนาจพิจารณา หากรัฐแก้ไขปัญหาไม่ได้ อาจเป็นการโหมไฟการชุมนุมเพิ่มขึ้นอีกด้าน พร้อมให้แนวต้านที่ 1,300 - 1,310 จุด และแนวรับที่ 1,285 - 1,280 จุด
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี(ประเทศไทย)กล่าวว่า ดัชนีวานนี้ปรับตัวลงไปที่แนวรับ 1,280 จุด และสามารถฟื้นตัวกลับมาได้บ้าง มองว่าการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นสิ่งที่ดีในการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดความรุนแรงมากขึ้นและควบคุมได้ยาก ขณะที่การประชุม กนง.มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจไทยในระยะยาวยังแข็งแกร่ง ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(22 ม.ค.) หากไม่มีปัจจัยการเมืองเชิงลบเข้ามาเพิ่มเติม ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวนด์ขึ้นมาได้ พร้อมให้แนวรับที่ 1,280 จุด และแนวต้าน 1,300-1,305 จุด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (22ม.ค.) ปรับตัวในแดนลบตลอดทั้งวัน ภายหลังจากรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเมื่อเย็นวานนี้ โดยเปิดตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 12 จุด ก่อนมีแรงซื้อไหลเข้ามาพยุงดัชนี จนทำให้ปิดตลาดที่ระดับ 1,290.49 จุด ลดลง 2.61 จุด หรือ 0.20% มูลค่าการซื้อขาย 31,760.74 ล้านบาท
ภาพรวมนักวิเคราะห์มองว่า สาเหตุที่ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาปิดลบ 2 จุดนั้น เกิดจากกรณีคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง เรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาได้บ้างหลังจากกังวลกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น
โดยระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,296.03 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,280.09 จุด หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 212 หลักทรัพย์ ลดลง 463 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 210 หลักทรัพย์ ขณะที่นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 1,091.04 ล้านบาท นักลงทุนภายในประเทศ ซื้อสุทธิ 240.34 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 861.64 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ -469.74 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,828.25 ล้านบาท ปิดที่ 170.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท BBL มูลค่าการซื้อขาย 2,216.21 ล้านบาท ปิดที่ 175.00 บาท ลดลง 1.00 บาท JAS มูลค่าการซื้อขาย 1,696.79 ล้านบาท ปิดที่ 7.25 บาท ลดลง 0.05 บาท SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,297.97 ล้านบาท ปิดที่ 150.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท และ AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,289.93 ล้านบาท ปิดที่ 160.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ดัชนีหุ้นไทยแกว่งผันผวน เนื่อจากปัจจัยด้านการเมืองดูจะตึงเครียดมากขึ้น หลังรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นเวลา 60 วัน มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขณะที่ กปปส. ยังยืนยันการเคลื่อนไหวต่อไป ด้านต่างประเทศ เริ่มยกระดับเตือนภัยในการเดินทางมากรุงเทพฯ เริ่มจากฮ่องกง ที่ปรับเป็นขั้นสูงสุด จับตาจีนต่อไป คาดยิ่งส่งผลลบต่อการท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงตรุษจีนที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจับตาการตัดสินใจของรัฐบาลเรื่องเงินกู้จ่ายจำนำข้าวชาวนา 1.3 แสนล้านบาท หลังกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงไม่มีอำนาจพิจารณา หากรัฐแก้ไขปัญหาไม่ได้ อาจเป็นการโหมไฟการชุมนุมเพิ่มขึ้นอีกด้าน พร้อมให้แนวต้านที่ 1,300 - 1,310 จุด และแนวรับที่ 1,285 - 1,280 จุด
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี(ประเทศไทย)กล่าวว่า ดัชนีวานนี้ปรับตัวลงไปที่แนวรับ 1,280 จุด และสามารถฟื้นตัวกลับมาได้บ้าง มองว่าการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นสิ่งที่ดีในการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดความรุนแรงมากขึ้นและควบคุมได้ยาก ขณะที่การประชุม กนง.มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจไทยในระยะยาวยังแข็งแกร่ง ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(22 ม.ค.) หากไม่มีปัจจัยการเมืองเชิงลบเข้ามาเพิ่มเติม ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวนด์ขึ้นมาได้ พร้อมให้แนวรับที่ 1,280 จุด และแนวต้าน 1,300-1,305 จุด