ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (21 ม.ค.) ปิดที่ระดับ 1,293.10จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.11 จุด หรือ +0.24% มูลค่าการซื้อขายเบาบางเพียง 27,099.84 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,304.28 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 1,285.17 จุด ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ยังคงทรงตัวและบวกบ้างเล็กน้อย โดยนักลงทุนสถาบันเข้าซื้อกว่า 1,344.88 ล้านบาท สวนทางกับ บัญชีหลักทรัพย์ที่ขายออกกว่า -1,244.42 ล้านบาท ปัจจัยลบหุ้นซึมยังคงมาจากความกังวลของสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น จำนวน 364 หลักทรัพย์ ลดลง 289 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 251หลักทรัพย์
การซื้อขายสุทธิแยกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 1,344.88 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไป ซื้อสุทธิ 863.62 ล้านบาท ในขณะที่ บัญชีบริษัทหลักหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ-1,244.42 ล้านบาท และ นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ -964.07 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่
BBL ปิดที่ 176.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ +0.28% มูลค่าการซื้อขาย 1,829.59 ล้านบาท
KBANK ปิดที่ 169.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือ +2.11% มูลค่าการซื้อขาย 1,631.34 ล้านบาท
JAS ปิดที่ 7.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ +1.39% มูลค่าการซื้อขาย 1,361.99 ล้านบาท
TRUE ปิดที่ 7.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ +1.28% มูลค่าการซื้อขาย 1,343.95 ล้านบาท
SCB ปิดที่ 147.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,249.55 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังคงแกว่งตัวผันผวนจากปัจจัยความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ในขณะที่ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ยังไม่มีประเด็นบวกเข้ามา ประกอบกับดัชนี SET INDEX ในขณะนี้ค่า P/E อยู่ในระดับที่เกิน 14 เท่า จึงทำให้เห็นแรงเทขายเพื่อทำกำไร
ในขณะที่แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้(22 ม.ค.) คาดว่าตลาดฯน่าจะยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง ซึ่งวอลุ่มเทรดของตลาดฯจะยังคงเบาบาง โดยต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศเป็นหลัก และติดตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในวันพรุ่งนี้ หากมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงจะส่งผลดีต่อตลาดฯในระยะสั้น ขณะที่ระยะกลาง-ยาว ควรระวังเงินทุนไหลออก
อย่างไรก็ดีประมาณแนวรับที่ 1,280 จุด และแนวต้าน 1,300 จุด
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น จำนวน 364 หลักทรัพย์ ลดลง 289 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 251หลักทรัพย์
การซื้อขายสุทธิแยกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 1,344.88 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไป ซื้อสุทธิ 863.62 ล้านบาท ในขณะที่ บัญชีบริษัทหลักหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ-1,244.42 ล้านบาท และ นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ -964.07 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่
BBL ปิดที่ 176.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ +0.28% มูลค่าการซื้อขาย 1,829.59 ล้านบาท
KBANK ปิดที่ 169.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือ +2.11% มูลค่าการซื้อขาย 1,631.34 ล้านบาท
JAS ปิดที่ 7.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ +1.39% มูลค่าการซื้อขาย 1,361.99 ล้านบาท
TRUE ปิดที่ 7.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ +1.28% มูลค่าการซื้อขาย 1,343.95 ล้านบาท
SCB ปิดที่ 147.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,249.55 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังคงแกว่งตัวผันผวนจากปัจจัยความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ในขณะที่ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ยังไม่มีประเด็นบวกเข้ามา ประกอบกับดัชนี SET INDEX ในขณะนี้ค่า P/E อยู่ในระดับที่เกิน 14 เท่า จึงทำให้เห็นแรงเทขายเพื่อทำกำไร
ในขณะที่แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้(22 ม.ค.) คาดว่าตลาดฯน่าจะยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง ซึ่งวอลุ่มเทรดของตลาดฯจะยังคงเบาบาง โดยต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศเป็นหลัก และติดตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในวันพรุ่งนี้ หากมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงจะส่งผลดีต่อตลาดฯในระยะสั้น ขณะที่ระยะกลาง-ยาว ควรระวังเงินทุนไหลออก
อย่างไรก็ดีประมาณแนวรับที่ 1,280 จุด และแนวต้าน 1,300 จุด
